ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศเขตร้อน ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยสัตว์มากมาย ทั้งสัตว์ที่ไม่ได้ดุร้ายหรืออันตรายอะไร และสัตว์ที่เต็มไปด้วยความอันตรายและดุร้ายแบบจัดเต็ม ในแต่ละปีจึงมีคนที่ต้องเสียชีวิตจากพิษงูไปเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงแม้ว่ามันจะดูน่ากลัว แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังคงอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกับพิษของงูแต่ละชนิดกันว่า มันออกฤทธิ์อย่างไรและงูแต่ละประเภทที่มีพิษนั้นมีลักษณะอย่างไร เพื่อที่วันหนึ่งหากเราพบกับพวกเขาเข้าเราจะได้มีสติ สามารถจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ดีขึ้นกว่าเดิม วันนี้ Animalkingdom จะพาทุกคนไปเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้กัน ไปติดตามกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับพิษงู สิ่งที่อาจจะทำให้คุณถึงแก่ความตาย
พิษงูนั้นเป็นสิ่งที่มีความอันตรายเป็นอย่างมาก ในประเทศไทยของเราเองก็มีคนถูกงูกัดวันนึงไม่รู้ตั้งกี่คน หากมีซากหรือตัวมาด้วยก็สามารถรักษาได้ง่าย แต่หากไม่มีเลยโอกาสที่จะรักษาได้นั้นก็ยาก เพราะไม่รู้ว่าจะต้องใช้เซรุ่มตัวไหนในการรักษา อันดับแรกเราต้องเข้าใจก่อนว่า งูไทยที่มีพิษนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ประเภท ประกอบไปด้วย
ELAPIDAE
พวกเขานั้นจะมีเขี้ยวพิษอยู่บริเวณกรามบนด้านหน้า ทำให้เวลาถูกกัดเราจึงไม่เห็นรอยเคี่ยวของพวกเขาเนื่องจากมีขนาดค่อนข้างสั้น อย่างเช่น งูสามเหลี่ยม งูเห่า งูทับสมิงคลา หรืองูจงอาง ซึ่งเป็นงูมีพิษอันตราย โดยเฉพาะงูเห่าที่พิษของพวกเขานั้นจะส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้บริเวณที่ถูกกัดมีอาการบวมแดง ในขณะที่สายพันธุ์อื่นจะไม่ได้ออกฤทธิ์ในลักษณะดังกล่าว
VIPERIDAE
พวกเขามีเขี้ยวพิษอยู่บริเวณกรามบนด้านหน้าเช่นเดียวกัน แต่เขี้ยวยาวดังนั้นจึงมองเห็นตำแหน่งที่ถูกกัดได้ชัดเจน ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประกอบไปด้วย CRATALINAE สังเกตได้ว่าพวกเขานั้นจะมีรูอยู่บริเวณตากับจมูก ใช้ในการรับความร้อนทำให้รู้ว่าตำแหน่งของเหยื่ออยู่ไหนอย่างเช่น งูกับปะหรืองูเขียวหางไหม้ พิษของพวกเขานั้นจะเข้าไปทำลายระบบเลือด โดยเฉพาะผนังหลอดเลือดฝอยจนทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะของร่างกาย และยังอาจจะมีพิษที่ทำให้แผลบวมเน่าได้อีกด้วย และแบบที่ 2 ก็คือ VIPERINAE พวกเขาจะไม่มีรูอยู่บริเวณตากับจมูกอย่างเช่น งูแมวเซา พิษของพวกเขานั้นจะทำให้เลือดออกในอวัยวะและยังเป็นพิษต่อไตอีกด้วย นอกจากนี้มันยังเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อจนทำให้เป็นแผลบวม ที่สำคัญงูแมวเซานั้นพิษของมันยังส่งผลต่อระบบประสาทอีกต่างหาก
HYDROPHIIDAE
เขี้ยวพิษของพวกเขาจะอยู่บริเวณกรามบนด้านหน้าแต่จะไม่เห็นรอยกัดเนื่องจากเขี้ยวสั้น ส่วนใหญ่จะเป็นงูที่อยู่ในน้ำอย่างเช่น งูสมิงทะเล งูคออ่อน หรืองูชายธง ซึ่งสามารถพบเจอได้ตามแหล่งน้ำเค็มธรรมชาติ พิษของพวกเขาจะเข้าไปทำลายระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทของเรา
COLUBRIDAE
เขี้ยวพิษของพวกเขานั้นจะอยู่ที่กรามบนด้านในสุด ทำให้เขี้ยวสั้นและเวลากัดก็ลำบาก ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นพวกเขาทำร้ายมนุษย์สักเท่าไหร่ จนหลายคนเข้าใจว่าพวกเขาไม่มีพิษ อย่างเช่น งูลายสาบคอแดง แต่ความจริงแล้วพิษของพวกเขานั้นจะเข้าไปทำลายระบบเลือด ทำให้เลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
ฤทธิ์ของพิษสัตว์เลื้อยคลานแต่ละชนิดนั้นก็แตกต่างกัน มีตั้งแต่แบบที่เข้าไปทำลายประสาท มันจะสามารถดูดซึมตามกระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้เรากล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดไม่ชัด หายใจไม่สะดวก แบบที่เข้าไปทำลายผนังในหลอดเลือด จนทำให้เม็ดเลือดแดงสามารถออกมาจากหลอดเลือดที่ถูกทำลายได้ จนมีเลือดออกตามอวัยวะทั้งภายนอกและภายใน พิษจะเข้าไปกระตุ้นระบบลิ่มเลือดจนทำให้เลือดไม่แข็งตัวและเลือดออกตามอวัยวะ มีแบบที่เข้าไปทำลายกล้ามเนื้อทำให้มีอาการปวดอย่างรุนแรง ถ่ายปัสสาวะออกมาเป็นสีดำ แบบที่ทำให้เป็นแผลบวมเน่ากลายเป็นตุ่มเหลืองพุพองหรือมีน้ำเลือดแทรกอยู่อย่างเช่น สัตว์มีพิษประเภทงูเขียวหางไหม้หรืองูกะปะ เป็นต้น มีพิษที่จะเข้าไปทำลายกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรงจะทำให้ความดันต่ำและหัวใจเต้นผิดปกติ แบบที่เข้าไปทำให้รู้สึกปวดแผล ปวดท้อง ท้องเสีย ความดันต่ำ ริมฝีปากและลิ้นบวมทันทีหลังถูกกัด แบบที่ส่งผลทำลายไตโดยตรง และแบบที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกเป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขามีอันตรายเป็นอย่างมากและกลายมาเป็นสัตว์ที่หลายคนหวาดกลัวกันในที่สุด
เปิดวิธีการปฐมพยาบาลเมื่อถูกพิษงู
หากคุณบังเอิญไปพบเข้ากับสัตว์เหล่านี้แล้วถูกกัดจนพิษงูเข้าสู่กระแสเลือด ให้ปฐมพยาบาลตามวิธีการดังนี้ เริ่มต้นจากการทำความสะอาดแผลด้วยยาฆ่าเชื้ออย่างเช่น ทิงเจอร์ไอโอดีนหรือแอลกอฮอล์ ไม่ควรใช้สมุนไพร รากไม้ หรือใบไม้มาตำใส่แผลเนื่องจากจะทำให้แผลสกปรก มีโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อ และกลายเป็นโรคบาดทะยักตามมา บริเวณไหนที่ถูกกัดให้เคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด ให้นำเอากระดาษแข็งหรือไม้กระดานมาดามหรือรองเอาไว้เพื่อลดการเคลื่อนไหว
ห้ามกินยาหรือดื่มเครื่องดื่มมึนเมาโดยเด็ดขาด เพราะมันจะไปปิดบังอาการที่เกิดจากพิษหรืออาจทำให้สำลักอาเจียนได้ ให้รีบพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หากทราบชนิดหรือสามารถนำงูไปด้วยได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้สามารถรู้ว่าเป็นพิษชนิดไหนและเลือกใช้เซรุ่มงูในการรักษาได้อย่างถูกต้อง ช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเสียชีวิตได้มากขึ้นกว่าเดิม