ท่ามกลางสภาวะโลกร้อนที่เป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์เรานั้น สิ่งมีชีวิตที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ บรรดาสัตว์ที่อยู่ใต้ท้องทะเลนั่นเอง และหนึ่งในนั้นก็คือ “เต่ามะเฟือง” สัตว์ทะเลที่มีสถานการณ์น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าพวกเขานั้นใกล้สูญพันธุ์และเริ่มหาได้ยากมากขึ้นกว่าเดิม หากเราไม่อนุรักษ์พวกเขาเอาไว้และยังไม่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ดีพอ เชื่อว่าวันหนึ่งโลกของเราจะไม่มีพวกเขาให้เราได้เห็นกันอีกต่อไปอย่างแน่นอน ในวันนี้เราจึงอยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเต่ามะเฟือง สัตว์ทะเลที่ใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากโลกของเรา
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับเต่ามะเฟือง สิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องมหัศจรรย์
เต่ามะเฟือง จัดว่าเป็นสัตว์หายากเนื่องจากพวกเขาใกล้สูญพันธุ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกอบกับพฤติกรรมพี่มักจะอพยพย้ายถิ่นฐานในระยะไกลอยู่เสมอ ยิ่งทำให้พวกเรามีโอกาสเห็นพวกเขาน้อยลงกว่าเดิมไปอีก ในประเทศไทยเองก็สามารถพบเห็นเต่ามะเฟืองได้เช่นเดียวกัน แต่ประชากรพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่สามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้นั้น กลับมีจำนวนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
จนตอนนี้เหลือเพียงแค่ปีละไม่ถึง 10 ตัวเท่านั้น ที่จะสามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้ตามปกติ โดยเราจะสามารถพบพวกเขาวางไข่เฉพาะชายหาดในฝั่งตะวันตกของจังหวัดภูเก็ตและพังงาเท่านั้น ทางรัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด เพราะได้มีการทบทวนมาตรการและแนวทางการอนุรักษ์พวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เต่ามะเฟือง เป็นสัตว์น้ำประเภทเต่าทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หากโตเต็มที่พวกเขาจะสามารถมีความยาวได้มากกว่า 2.565 เมตรเลยทีเดียว แถมยังมีน้ำหนักได้ถึง 916 กิโลกรัมอีกด้วย ความโดดเด่นก็คือพวกเขาจะมีกระดองที่เป็นซีกเหมือนกับมะเฟือง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อพวกเขานั่นเอง
ทั่วกระดองจะเป็นสีดำมันเงาและมีจุดประสีขาวอยู่ทั่วทั้งตัว ซีกบนกระดองจะแบ่งตามรอยนูน ซึ่งมีทั้งหมดอยู่ 7 ซีกด้วยกัน อาหารหลักของพวกเขาก็คือแมงกะพรุน แต่ก็สามารถกินอย่างอื่นได้เช่นเดียวกันอย่างเช่น สาหร่ายน้ำลึกหรือแพลงก์ตอน
พวกเขาเป็นสัตว์ใต้ทะเลที่ออกลูกเป็นไข่ แม่พันธุ์จะเลือกชายหาดที่เงียบสงบเพื่อขุดหลุมฝังไข่ของพวกเขาเอาไว้ ในบริเวณที่น้ำทะเลไม่สามารถซัดมาถึงได้ การวางไข่แต่ละครั้งจะมีจำนวนมากถึง 60 ฟอง ไปจนถึงมากกว่า 100 ฟอง เลยทีเดียว ไข่ของพวกเขาจะมีสีขาวปนแดง แถมยังมีขนาดใหญ่มากกว่าไข่ของเต่าทะเลสายพันธุ์อื่นอีกด้วย
หลังจากนั้นแม่เต่าก็จะกลับคืนสู่ทะเลและปล่อยให้ลูกเต่าฟักออกมาเอง โดยจะใช้เวลาตั้งแต่ 55 วันไปจนถึง 60 วัน ซึ่งอุณหภูมิจะเป็นตัวแปรสำคัญในการฟักไข่ โดยเฉพาะระยะเวลาและการกำหนดเพศ หากอุณหภูมิสูงก็จะทำให้ลูกเต่าถูกฟักออกมาเป็นเพศเมีย หากอุณหภูมิต่ำก็จะฟักออกมาเป็นตัวผู้
หลังจากที่ฟักออกมาเป็นตัวเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะอยู่ในหลุมต่อไปอีกประมาณ 2 วัน เพื่อรอให้เต่าตัวอื่นฟักออกมาให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นในช่วงกลางคืน พวกเขาก็จะคลานออกมาจากหลุมพร้อมกัน และเดินทางมุ่งหน้าสู่ท้องทะเล
หากสังเกตดูให้ดีทารกเต่าเหล่านี้จะมีถุงไข่แดงติดอยู่บริเวณหน้าท้องด้วย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ช่วยให้พวกเขาสามารถว่ายน้ำและหลบหนีศัตรูตามธรรมชาติ ลงสู่ท้องทะเลลึกได้อย่างปลอดภัย
สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดสำหรับเต่ามะเฟืองนั้น ไม่ใช่ภัยคุกคามตามธรรมชาติ แต่เป็นภัยคุกคามที่มาจากมนุษย์อย่างพวกเราเองอย่างเช่น การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการทำการประมง เนื่องจากเวลาที่แม่เต่าเดินทางมาวางไข่ ก็อาจจะเข้าไปติดในเครื่องมือหาปลาได้เช่นเดียวกัน จนทำให้พวกเขาถึงแก่ชีวิตในที่สุด
หรือไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมในทะเลทั้งหลายของมนุษย์อย่างเช่น การท่องเที่ยว การแล่นเรือ การขี่สกูตเตอร์ ก็ยังสามารถรบกวนต่อการพักผ่อนหรือการออกหาเหยื่อของพวกเขาได้เช่นเดียวกัน ชายหาดและท้องทะเลที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ก็ส่งผลเสียต่อพวกเขาไม่น้อย
ประกอบกับชายหาดหรือท้องทะเลที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะจนมีแสงสีเสียงรบกวน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แม่เต่ามีพื้นที่ในการวางไข่น้อยลงไปกว่าเดิม ปัญหาเรื่องขยะในทะเลเองก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่เช่นเดียวกัน เคยมีการผ่าชันสูตรซากสัตว์ทะเลที่ขึ้นมาเกยตื้นเสียชีวิตแล้วพบว่า บางตัวมีขยะพลาสติกอยู่ในทางเดินอาหารเป็นจำนวนมาก และนั้นก็เป็นสาเหตุของการตาย หากจะพูดว่า มนุษย์เรานั้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาอยู่บนโลกใบนี้ยากขึ้นก็ได้เช่นเดียวกัน
รู้หรือไม่ มีข้อกฎหมายสำหรับคุ้มครองเต่ามะเฟือง
ด้วยสาเหตุต่าง ๆ ที่เราได้กล่าวไป ทำให้เต่ามะเฟืองกลายเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ จึงได้เกิดเป็นข้อกฎหมายสำหรับคุ้มครองเต่ามะเฟือง เพื่อไม่ให้พวกเขาสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้ง่าย ๆ ในประเทศไทยของเรานั้น พวกเขาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 โดยถูกจัดให้อยู่ในสัตว์ป่ากลุ่มที่ 1 ของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่ในข้อกำหนดชนิดสัตว์ป่ารวมไปถึงซากของสัตว์ป่าที่ห้ามมีการนำเข้าส่งออก
นอกจากนี้ ยังถูกกำหนดให้เป็นสัตว์ที่อยู่ในบัญชีแนบท้าย อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย พวกเขาเป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกยกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีเท่านั้น ดังนั้นหากเราไปรบกวนพวกเขาไม่ว่าจะเป็นตัวโตเต็มวัยหรือแม้แต่ไข่ก็ตาม โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะในเชิงพาณิชย์หรือส่วนตัว ก็จะถูกดำเนินการทางกฎหมายอย่างแน่นอน
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกน่ารักเพิ่มเติมได้ที่ Animalkingdom