จระเข้น้ำเค็ม สัตว์ผู้ล่าที่ถือว่าอยู่ในระดับบนของห่วงโซ่อาหาร การมีอยู่ของพวกเขาจึงเป็นตัวบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าระบบนิเวศในพื้นที่นั้น ๆ มีความอุดมสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด ถึงแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นจระเข้น้ำเค็ม แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาสามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งในพื้นที่น้ำเค็มและน้ำกร่อย ซึ่งส่วนใหญ่เราจะพบพวกเขาในพื้นที่น้ำกร่อยและป่าชายเลนมากกว่าในทะเลเปิด ทำให้พวกเขาเปรียบเสมือนมาเฟียในพื้นที่แห่งนี้ก็ไม่ปาน เพราะพวกเขาเป็นนักล่าที่ทั้งดุร้ายแถมยังทรงพลัง และในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับจระเข้น้ำเค็ม พวกเขาจะมีลักษณะเป็นอย่างไรและจะน่าสนใจขนาดไหน ไปติดตามกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับจระเข้น้ำเค็ม สัตว์ที่มีความน่าสนใจมากกว่าความน่ากลัว
จระเข้น้ำเค็ม มีอีกหนึ่งชื่อเรียกว่า จระเข้ทองหลาง พวกเขาจัดเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดใหญ่ ถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกเขาจะเป็นบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทั้งบริเวณที่เป็นน้ำกร่อยและน้ำเค็ม โดยอาศัยอยู่ตั้งแต่ในประเทศอินเดียมาจนถึงทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถมยังสามารถพบได้ในออสเตรเลีย ภูมิภาคซุนดา และไมโครนีเซียด้วย
พวกเขาจัดเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในกลุ่มจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และยังคงสามารถดำรงเผ่าพันธุ์มาได้จนถึงในปัจจุบัน ตัวผู้นั้นสามารถมีความยาวลำตัวได้กว่า 6 เมตร มีน้ำหนักได้สูงถึง 1,300 กิโลกรัมเลยทีเดียว ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่าเกือบเท่าตัว โดยส่วนใหญ่แล้วความยาวลำตัวของพวกเขาจะไม่เกิน 3 เมตร ที่สำคัญก็คือ เราสามารถพบพวกเขาได้ในประเทศไทยด้วย
ลักษณะทั่วไปของจระเข้น้ำเค็ม
ลักษณะโดยรวมของจระเข้น้ำเค็มนั้นจะมีความคล้ายคลึงกับจระเข้น้ำจืด แต่ความแตกต่างก็คือ พวกเขาจะมีขาหลังที่แข็งแรงกว่า มี 4 นิ้ว และมีพังผืดระหว่างนิ้วเท้าที่ช่วยให้พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวในน้ำได้อย่างคล่องตัว
จะงอยปากจะยื่นยาวออกมาและส่วนปลายจะมีความแหลมกว่าจระเข้น้ำจืด พวกมันสามารถมีฟันได้ถึง 60 ซี่เลยทีเดียว พวกเขาจะไม่มีเกล็ด 4 เกล็ดที่บริเวณท้ายทอย ซึ่งต่างจากสายพันธุ์น้ำจืดที่จะมีเกล็ดดังกล่าวอยู่ บนลูกตาจะมีสันขนาดเล็กที่ยื่นยาวออกมาอย่างเห็นได้ชัด
สีของจระเข้น้ำเค็มจะมีตั้งแต่สีเหลืองอ่อน สีขาว สีเทา และสีดำ ตัวผู้จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่อมีอายุครบ 16 ปี ส่วนตัวเมียสามารถเริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่มีอายุได้ 10 ปีเท่านั้น แต่จะมีความสมบูรณ์พร้อมในการวางไข่ที่สุดตั้งแต่อายุ 12 ปี ขึ้นไป
การผสมพันธุ์และการขยายพันธุ์
จระเข้น้ำเค็ม จะผสมพันธุ์กันในช่วงฤดูร้อนก่อนจะมีการวางไข่ในช่วงฤดูฝน ในแต่ละครั้งสามารถวางไข่ได้เป็นจำนวนกว่า 25 ฟองไปจนถึง 90 ฟอง ใช้เวลาวางไข่ไม่เกิน 25 นาทีเท่านั้น ส่วนระยะเวลาในการฟักไข่จะอยู่ที่ 80 วัน
ขนาดไข่ของพวกเขานั้นจะใหญ่กว่าไข่ของสายพันธุ์น้ำจืด โดยมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 120 กรัมต่อฟอง พวกเขาเป็นสัตว์นักล่าดังนั้นจึงเป็นสัตว์ที่ดุร้ายเป็นอย่างมาก ต่อให้สัตว์ที่เข้ามาอยู่บริเวณอาณาเขตของพวกเขาจะไม่ใช่อาหารพวกเขา จระเข้น้ำเค็มก็สามารถโจมตีได้เช่นเดียวกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์อย่างเรา
ยิ่งในบางพื้นที่ของทวีปออสเตรเลีย จะขึ้นชื่อมากในเรื่องการโจมตีมนุษย์ของจระเข้ ที่สำคัญพวกเขามีแรงกัดจากกรามที่แข็งแรง จนทำให้สามารถกัดได้รุนแรงมากที่สุดในโลก ซึ่งมีความรุนแรงกว่า 1,700 ปอนด์เลยทีเดียว
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาสามารถกระโดดเพื่องับเหยื่อได้อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมากกับสัตว์ที่มีลำตัวยาวแถมยังตัวใหญ่ แต่สามารถที่จะกระโดดได้
รู้หรือไม่ จระเข้น้ำเค็มเสี่ยงสูญพันธุ์และจะกระทบระบบนิเวศอย่างหนัก
จระเข้น้ำเค็ม เป็นสัตว์อันตรายที่หกพูดถึงศัตรูทางธรรมชาติพวกเขาก็แทบจะไม่มีด้วยซ้ำไป ในขณะที่สายพันธุ์น้ำจืดอาจจะต้องเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างฮิปโปโปเตมัส แต่ในบริเวณน้ำเค็มยิ่งเป็นบนบกด้วยแล้ว พวกเขาแทบจะไม่เจอศัตรูอื่นใดเลยนอกจากมนุษย์
แต่ใครจะคาดคิดว่าพวกเขานั้นกลับเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก และยังคงมีการล่าพวกเขาอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในช่วงปี 1970 พวกเขามักถูกล่าเพื่อนำเอาหนังมาใช้ในการผลิตสิ่งทออย่างเช่น กระเป๋าหรือเครื่องไม้เครื่องมือทั้งหลาย
มีนักวิจัยหลายท่านได้ค้นพบว่า หากจระเข้น้ำเค็มสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้ จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างร้ายแรง พวกเขานั้นมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์และแต่ละสายพันธุ์ ก็ได้รับการวิวัฒนาการให้แตกต่างกันอย่างน่าเหลือเชื่อ
พวกเขาจะมีบทบาทเป็นอย่างมากทางนิเวศวิทยาที่มีความหลากหลาย และมันก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบนโลกใบนี้
มีการค้นพบว่าจระเข้บางสายพันธุ์ได้สร้างที่พักพิงให้กับสัตว์สายพันธุ์อื่น ด้วยการขุดโพรงเพื่อใช้จำศีลในช่วงฤดูหนาวหรือการหลบภัยในช่วงฤดูร้อน สายพันธุ์ในฟิลิปปินส์ก็กินหอยแอปเปิลเป็นอาหาร ซึ่งเป็นศัตรูทางการเกษตรที่น่าปวดหัว
เหล่าบรรดาจระเข้น้ำเค็มก็มีการเดินทางนับร้อยกิโลเมตรข้ามมหาสมุทร เพื่อนำเอาสารอาหารระหว่างทางส่งต่อระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ที่พวกมันเดินทางไป พวกเขาจึงเป็นสิ่งที่สามารถชี้วัดได้ว่าระบบนิเวศของป่า พื้นที่ชุ่มน้ำ แม่น้ำ ลำธาร น้ำกร่อย น้ำทะเล มีความอุดมสมบูรณ์มากน้อยแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะยังไม่ได้เข้าขั้นเสี่ยงสูญพันธุ์มากมายนัก แต่มันก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์เราที่ต้องอนุรักษ์พวกเขาเอาไว้ ให้ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่บนโลกให้สำเร็จ เพราะการหายไปของสัตว์สายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me