แมงดาทะเล สัตว์น้ำที่ได้รับความนิยมนำมารับประทานชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะการรับประทานไข่ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารที่มีรสชาติดีเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ Animal kingdom ไม่ได้จะพาทุกท่านมาดูสูตรการทำอาหารจากแมงดาทะเล แต่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสัตว์น้ำชนิดนี้กัน พวกมันจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ตาม Animal kingdom ไปดูกันได้เลยค่ะ
ข้อมูลทั่วไปของแมงดาทะเล
แมงดาทะเล เป็นสัตว์น้ำอีกชนิดหนึ่งที่ในทางชีววิทยามักจะเรียกรวมกันกับ เห็บ ปู แมงมุม กิ้งกือ กุ้ง ตะขาบ และแมลงชนิดอื่น ๆ อีกหลายชนิด โดยจะเรียกรวมกันว่า “สัตว์ขาข้อ” ที่ไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัม Arthropoda โดยสัตว์น้ำชนิดนี้ถูกจำแนกให้อยู่ในชั้น Merostomata หรือกลุ่มชั้นแมงดา พวกมันเป็นหนึ่งสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกของเรา จากอดีตจนถึงปัจจุบัน พวกมันถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อราว 400 ล้านปีก่อน โดยในปัจจุบันโลกของเราเหลือสัตว์น้ำชนิดนี้อยู่เพียง 4 ชนิดเท่านั้น ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด ที่อยู่ตามพื้นที่ชายฝั่งของไทย ส่วนอีก 2 ชนิด อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิกและมหาสมุทรแอตแลนติก
ลักษณะทางกายภาพ
แมงดาทะเลมีส่วนหัวและอกเชื่อมติดกัน ซึ่งเป็นสัตว์น้ำที่มีโครงสร้างภายนอกที่แข็งแรง มีลักษณะที่คล้ายกับเกือกม้า เป็นกระดองแข็งที่ห่อหุ้มไปทั้งตัว ส่วนแรกของสัตว์น้ำชนิดนี้จะมีรยางค์อยู่ 8 คู่ ที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไปตามการใช้งาน ส่วนบริเวณท้องของมันจะเป็นรูปทรงหกเหลี่ยม บริเวณข้างลำตัวจะมีหนามอยู่ 6 คู่ ส่วนท้องมีรยางค์อยู่ 6 คู่ มีลักษณะเป็นแผนแบนๆ ส่วนที่สามจะเป็นส่วนของหาง ซึ่งจะเป็นส่วนที่ยาวและมีความแข็งแรง ปลายหางจะเรียวแหลม โดยจะมีเอ็นที่แข็งแรงยึดไว้ โดยสัตว์น้ำชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายกับชามขนาดใหญ่หรือจานคว่ำ พร้อมยังมีกล้ามเนื้อทั้งหมด 750 มัด
แหล่งที่อยู่อาศัย
พวกมันเป็นสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ทั่วไปตามป่าชายเลนและชายฝั่งทะเล รวมไปถึงที่บริเวณหาดโคลนและหาดทราย ที่มีระดับน้ำทะเลไม่สูงมากนัก แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาเกือบทั้งปีอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก ซึ่งจะกินไส้เดือนทะเลหรือหอยชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร
วงจรชีวิต
เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนของทุกปี พวกมันจะอพยพมายังบริเวณเขตน้ำตื้น เพื่อที่จะหาคู่ผสมพันธุ์ ซึ่งตัวเมียจะวางไข่ถึง 90,000 ฟองต่อฤดูกาล โดยตัวอ่อนของสัตว์น้ำชนิดนี้จะลอกคราบอยู่หลายครั้ง และจะลดลงตามลำดับเมื่อพวกมันเข้าใกล้ช่วงโตเต็มวัย โดยตัวที่โตเต็มวัยจะมีอายุราว 9-12 ปี จึงจะพร้อมที่จะผสมพันธุ์และวางไข่อีกครั้งในช่วงฤดูร้อน