โลกของเรานั้นเต็มไปด้วยสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ เป็นความหลากหลายทางชีวภาพที่ช่วยให้โลกใบนี้มีความสมบูรณ์แบบ แต่สัตว์บางสายพันธุ์อย่างเช่น นกเพนกวิน ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ นับว่าเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างน่าฉงนไม่น้อยเลยทีเดียว เราเรียกพวกเขาว่านกเพราะพวกเขามีปีก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับไม่สามารถบินได้แต่อย่างใด ในยุคปัจจุบันบางคนถึงขั้นบอกว่า พวกเขาเป็นสัตว์ติดบัคกันเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ Animalkingdom จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเพนกวินและหาสาเหตุไปด้วยว่า เพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถใช้ปีกที่มีบินบนท้องฟ้าเหมือนกับนกสายพันธุ์อื่นได้
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับเพนกวิน ขวัญใจของเด็กหลาย ๆ คน
เพนกวิน นั้นเป็นขวัญใจของเด็กหลาย ๆ คน เนื่องจากพวกเขานั้นมีรูปร่างที่น่ารักเป็นอย่างมาก พวกเขาเป็นสัตว์ปีกที่สามารถพบได้ทั่วไปโดยเฉพาะในบริเวณซีกโลกใต้ จะมีเพียงแค่สายพันธุ์เดียวเท่านั้นก็คือ สายพันธุ์กาลาปาโกส ที่จะอยู่บริเวณทางเหนือบนเส้นศูนย์สูตร
ลักษณะตัวของพวกเขานั้นเหมือนกับพินโบว์ลิ่ง มีหัวกลมโตขนาดเล็ก มีร่างกายเป็นทรงรีขนาดใหญ่ มีปีก 2 ข้าง ที่อยู่ขนาบลำตัว ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่แค่ไหนแต่พวกเขาก็เป็นนกที่บินไม่ได้ เพราะปีกของเพนกวินไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้ในการบินนั่นเอง
พวกเขาจะมีปากยื่นยาวออกมาเป็นจะงอยเหมือนกับนกทั่วไป มีขาสั้นและมีเท้าที่คล้ายกับเป็ดเพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถว่ายน้ำได้อย่างง่ายดาย จะบอกว่ามันเป็นร่างกายที่วิวัฒนาการมาสำหรับการใช้ชีวิตในน้ำก็ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากพวกเขาเป็นสัตว์กินเนื้อที่ต้องล่าปลากินด้วยตัวเอง
ตอนที่ยังเป็นเด็กส่วนใหญ่แล้วเพนกวินจะมีขนฟูปุกปุยเป็นสีขาวและสีเทา เมื่อโตขึ้นพวกเขาจะมีขนเป็นสีดำและสีขาวแทน นอกจากปลาแล้วพวกเขายังสามารถกินสัตว์ทะเลขนาดเล็กอย่างอื่นได้อีกด้วยอย่างเช่น ปลาหมึกหรือกุ้ง พวกเขาใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนบกและอีกครึ่งอยู่ในทะเล
สายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดนั้นก็คือ เพนกวินจักรพรรดิ ที่เมื่อโตเต็มวัยแล้ว จะสามารถมีความสูงได้ถึง 1.1 เมตร และมีน้ำหนักตัวได้กว่า 35 กิโลกรัมเลยทีเดียว ในขณะที่สายพันธุ์เล็กที่สุดจะเป็นสายพันธุ์นางฟ้าที่โตเต็มวัยแล้วจะสูงอยู่ที่ประมาณ 33 เซนติเมตรและมีน้ำหนักตัวเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น
สายพันธุ์ที่มีขนาดตัวเล็กส่วนใหญ่จะพบได้ทั่วไปในบริเวณเขตร้อนหรือพื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่น ในขณะที่ตัวใหญ่มักจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็นมากกว่า มีหลายคนเชื่อกันว่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เพนกวินบางสายพันธุ์มีขนาดใหญ่เทียบเท่ามนุษย์ได้เลยเมื่อโตเต็มวัย
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในน้ำเพื่อล่าเหยื่อ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถหายใจในน้ำได้แต่อย่างใด โชคดีที่พวกเขานั้นสามารถกลั้นหายใจในน้ำได้นานเป็นอย่างมาก แถมพวกเขายังว่ายน้ำเร็วอีกด้วย สามารถทำความเร็วได้กว่า 24 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังสามารถดำน้ำได้ลึกกว่า 250 เมตรอีกต่างหาก
มันจึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนจะมองว่า เพนกวินเป็นสัตว์แปลกติดบัค นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาคือนกแต่ดันมีชีวิตแทบจะไม่แตกต่างอะไรจากสัตว์ทะเลอย่างแมวน้ำหรือสิงโตทะเลด้วยซ้ำไป โดยปกติแล้วพวกเขาจะมีอายุขัยอยู่ที่ประมาณ 20 ปี อาศัยแบบอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่เหมือนกับอาณานิคม โดยสามารถมีจำนวนได้มากกว่าล้านตัวเลยทีเดียว
รู้หรือไม่ ในอนาคตข้างหน้าอาจไม่มีเพนกวินให้เราได้เห็นอีกต่อไป
ต้องยอมรับว่าโลกในปัจจุบันนั้นมีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดมาจากพฤติกรรมของมนุษย์แทบจะทั้งสิ้น ทำให้แม้แต่เพนกวินเองก็กลายเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เช่นเดียวกันหากเราไม่คิดจะทำอะไรสักอย่าง
มีการศึกษาพบว่าหากยังคงเกิดภาวะโลกร้อนรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สุดท้ายแล้วน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาจะลดลง จนส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรของนกเพนกวินจักรพรรดิอย่างแน่นอน และการลดลงของจำนวนประชากรยังอาจจะทำให้พวกเขาถึงขั้นสูญพันธุ์ลงไปในปี 2100 เลยทีเดียว
หากเราปล่อยให้ถึงช่วงเวลานั้นเราก็จะไม่สามารถฟื้นฟูประชากรพวกเขาให้กลับมาเหมือนเดิมได้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่จะสามารถช่วยให้พวกเขายังคงสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ก็คือ การดูแลอุณหภูมิโดยจำกัดการเพิ่มขึ้นต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสตามที่ระบุไว้ในข้อตกลงปารีส
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาคงไม่มีทางสามารถวิวัฒนาการให้ตนเองอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศอย่างรวดเร็วได้แต่อย่างใด
ยังไม่รวมปัญหาที่พวกเขานั้นมีภัยคุกคามทางธรรมชาติอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นสัตว์น่ารักขนาดเล็กดังนั้นพวกเขาจึงเป็นเหยื่อของสัตว์ขนาดใหญ่สายพันธุ์อื่นเช่นเดียวกันอย่างเช่น แมวน้ำเสือดาว วาฬออร์กา หรือไม่ก็นกจมูกหลอดยักษ์
หากเรายังคงต้องการให้พวกเขาสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ในอนาคต สิ่งที่เราทุกคนต้องทำก็คือ การปรับพฤติกรรมเพื่อลดปัญหาโลกร้อนและลดการสร้างก๊าซเรือนกระจกนั่นเอง