สัตว์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงเวลานี้เชื่อว่าหลายคนจะต้องนึกถึง คาปิบารา หรือที่ชาวเน็ตตั้งชื่อเล่นให้กับพวกเขาว่า หมามะพร้าว อย่างแน่นอน สาเหตุที่ทำให้สัตว์ชนิดนี้มีชื่อเล่นสุดแปลกประหลาดนั่นก็เป็นเพราะว่า พวกเขามีรูปร่างที่ใกล้เคียงกับสุนัขตัวใหญ่ แต่มีขนหยาบเป็นสีน้ำตาลปกคลุมทั่วทั้งตัวเหมือนกับกะลามะพร้าวนั่นเอง พวกเขาจึงกลายเป็นหมาผสมกับมะพร้าวในสายตาของคนไทย แต่ความจริงแล้วพวกเขามีความน่าสนใจมากกว่าแค่รูปลักษณ์ภายนอก จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับคาปิบารา สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมิตรที่สุดในโลก
คาปิบารา หรือ หมามะพร้าว เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสัตว์ฟันแทะ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในตระกูลเดียวกับหนูแฮมสเตอร์หรือหนูแกสบี้ รวมไปถึงพวกกระต่าย กระรอก และชินชิล่า แต่พวกเขามีขนาดตัวที่ใหญ่เป็นอย่างมากจนเรียกได้ว่าใหญ่ผิดปกติ ทำให้พวกเขาจัดเป็นสัตว์ที่มีขนาดตัวใหญ่มากที่สุดในกลุ่มของตนเอง
หากเทียบขนาดแล้วพวกเขาตัวใหญ่มากกว่าสุนัขบางสายพันธุ์ที่เราเลี้ยงกันในบ้านเสียอีก วัดความสูงตั้งแต่ไหล่ถึงเท้าได้ประมาณ 50 เซนติเมตร ความยาวลำตัวตั้งแต่ปลายจมูกไปจนถึงโคนหางอยู่ที่ประมาณ 130 เซนติเมตร สามารถมีน้ำหนักได้ตั้งแต่ 35 กิโลกรัมไปจนถึง 70 กิโลกรัมเลยทีเดียว มีอายุขัยประมาณ 6-12 ปี สามารถพบได้ทั่วไปในอเมริกาเหนือและบริเวณตอนกลางในอเมริกาใต้
พฤติกรรม
คาปิบาราจัดเป็นสัตว์ที่ได้รับการพัฒนาร่างกายมาให้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูตุ้บตั้บเหมือนกับหมู แต่กลับสามารถใช้ชีวิตอยู่ในน้ำได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นั่นก็เป็นเพราะว่าบริเวณที่อยู่อาศัยของพวกเขา ใกล้กับแหล่งน้ำหรือทุ่งหญ้าสะวันนา ที่มักจะมีน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ
นิ้วเท้าของพวกเขาจะมีพังผืดที่ใช้สำหรับการว่ายน้ำ ขนของพวกเขามีความหยาบและเส้นเล็กเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำสามารถเข้าไปด้านในได้ เวลาขึ้นมาจากน้ำพวกเขาจึงตัวแห้งอย่างรวดเร็ว ถึงจะใช้เวลาอยู่ในน้ำเกือบเท่ากับการใช้เวลาอยู่บนบก
แต่พวกเขากลับไม่สามารถหายใจในน้ำได้แต่อย่างใด เวลาว่ายน้ำจึงต้องยกหัวให้โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ เพื่อใช้จมูกในการหายใจตามปกติ
คาปิบาราเป็นสัตว์กินพืชที่อาหารส่วนใหญ่ของพวกเขาจะเป็น ผักผลไม้ที่สามารถหาได้ในบริเวณใกล้เคียงกับที่อยู่อาศัย ดังนั้นถึงแม้ว่าจะตัวใหญ่และดูน่ากลัวแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงเป็นเหยื่อตามธรรมชาติอยู่ดี ต่อให้พวกเขาจะเป็นสัตว์ที่เป็นมิตรมากที่สุดในโลกถึงขั้นที่มีรูปออกมาว่า พวกเขาสามารถอยู่กับจระเข้ได้
ซึ่งในความเป็นจริงนั้น พวกเขาก็มีศัตรูตามธรรมชาติเช่นเดียวกัน อย่างเช่น อนาคอนดา นกอินทรีฮาร์ปี เสือจากัวร์ ไม่เว้นแม้กระทั่งจระเข้เคย์แมน เพียงแต่ว่าโดยปกติแล้วจระเข้จะไม่ค่อยกินพวกเขาสักเท่าไหร่
ประกอบกับการที่พวกเขามีขนาดตัวใหญ่มาก ทำให้พวกเขามีศัตรูธรรมชาติค่อนข้างน้อย พวกเขาจึงไม่ถูกจัดว่าเป็นสัตว์ที่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ แต่ทราบหรือไม่ว่าในอดีตเคยมีคนจับพวกเขามากินด้วยเช่นเดียวกัน
การผสมพันธุ์และการอยู่ร่วมกัน
สาเหตุที่ทำให้คาปิบาราสามารถรอดพ้นจากภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดในโลกอย่างมนุษย์ได้ เกิดจากการที่พวกเขาสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ตามแบบฉบับของสิ่งมีชีวิตประเภทหนู ตัวเมียสามารถมีลูกได้ประมาณ 4-5 ตัวต่อปีเลยทีเดียว ใช้เวลาในการตั้งท้องเพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น แถมยังสามารถผสมพันธุ์ได้ทุกฤดูขึ้นอยู่กับความพร้อมและความเหมาะสมของที่อยู่อาศัยอีกต่างหาก
นอกจากนี้พวกเขายังเป็นสัตว์สังคมที่มักอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงอีกด้วย โดยฝูงหนึ่งสามารถมีประชากรสูงสุดได้ถึง 40 ตัวเลยทีเดียว มันอาจจะกลายมาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ว่าทำไมจระเข้ถึงไม่อยากกินคาปิบารา เพราะถ้าหากกินไปตัวนึงรับรองว่าทั้งฝูงอีก 39 ตัว จะต้องมารุมสกรัมจระเข้ตัวนั้นอย่างแน่นอน
เปิดวิธีการเลี้ยงดูคาปิบาราและราคาซื้อขายในปัจจุบัน
คาปิบารากลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยความน่ารักและอัธยาศัยดี ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ หลายคนจึงรู้สึกอยากจะเลี้ยงพวกเขา ซึ่งในประเทศไทยเราสามารถเลี้ยงพวกเขาได้ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงในบ้านหรือเลี้ยงเพื่อทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวก็ตาม ราคาตลาดในตอนนี้จะอยู่ที่ประมาณตัวละ 40,000 บาทไปจนถึง 50,000 บาท
วิธีการเลี้ยงดูคาปิบาราดูเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากกว่าราคาของพวกเขา นั่นก็เป็นเพราะว่าการจะเลี้ยงพวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีบ่อน้ำ หรืออย่างน้อยก็ต้องมีอ่างน้ำขนาดใหญ่ให้พวกเขาได้ลงไปแช่น้ำตามพฤติกรรมตามธรรมชาติ และบ่อน้ำหรืออ่างน้ำเหล่านี้ต้องมีความลึกประมาณ 2 ฟุตขึ้นไปเลยทีเดียว
พวกเขาชื่นชอบการขุดดินโคลนเป็นอย่างมาก ดังนั้นรับรองได้เลยว่าสวนหน้าบ้านของคุณจะเป็นหลุมเป็นบ่ออย่างแน่นอน ที่สำคัญคือคุณไม่สามารถเลี้ยงหนูตัวใหญ่สายพันธุ์นี้ตัวเดียวได้แต่อย่างใด อย่างที่เราบอกไปว่าพวกเขาชื่นชอบการอยู่ร่วมกันเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้คุณจึงต้องเลี้ยงพวกเขาตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป เพื่อป้องกันอาการเครียดที่อาจจะตามมา
พื้นที่เลี้ยงต้องมีขนาดที่ใหญ่และกว้างขวางเพียงพอ ยิ่งหากต้องการขยายพันธุ์ยิ่งต้องมีพื้นที่มากขึ้นกว่าเดิม เพราะพวกเขาขยายพันธุ์กันได้อย่างรวดเร็ว ควรมีร่มให้พวกเขาได้หลบแดดในตอนกลางวัน ดินปูพื้นต้องเป็นดินเหนียวไม่ใช่ดินทราย นอกจากนี้ยังไม่ควรจับพวกเขาขังกรงอีกด้วยเพราะจะทำให้พวกเขาเครียด ถึงขั้นไม่ยอมกินอาหารและตรอมใจตายได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me