สัตว์แต่ละชนิดบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่ได้รับการออกแบบร่างกายมาให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้ชีวิตของตนเอง อย่างเช่น ตัวลิ่น ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ มีการออกแบบที่ช่วยให้พวกเขานั้นสามารถเอาชีวิตรอดในธรรมชาติได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือการที่พวกเขามีเกล็ดแข็งปกคลุมตลอดทั้งลำตัวนั่นเอง มันช่วยให้เขาสามารถอยู่ในธรรมชาติที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามมากมายได้อย่างปลอดภัย แต่อย่างนั้นมันก็ไม่ช่วยให้พวกเขาปลอดภัยจากมนุษย์อยู่ดี วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขากัน ก่อนที่พวกเขาจะไม่อยู่ให้เราเห็นบนโลกใบนี้อีกต่อไป
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับตัวลิ่น สัตว์ที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์และความน่าสนใจ
ลิ่น หรือ ตัวนิ่ม อีกชื่อเล่นที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ถูกจัดอยู่ในกลุ่มไฟลั่มสัตว์มีกระดูกสันหลังและเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พวกเขาเป็นสายพันธุ์เดียวในวงศ์ตัวเองที่ยังคงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นสถานการณ์ของพวกเขาจึงเรียกได้ว่าน่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก
เราสามารถพบพวกเขาได้ในแถบทวีปแอฟริกาและเอเชียเท่านั้น ลักษณะที่โดดเด่นของพวกเขาก็คือการมีใบหน้าที่ยื่นยาวออกมา มีปากขนาดเล็กและมีลักษณะเป็นรู นอกจากนี้พวกเขายังไม่มีฟันอีกด้วย วิธีการกินอาหารของพวกเขาจึงค่อนข้างแปลกประหลาด
เพราะพวกเขาจะใช้ลิ้นยื่นยาวออกมา และใช้น้ำลายที่เหนียวเป็นพิเศษของตนเอง ตวัดแมลงตามพื้นเข้าปากเพื่อกินเข้าไป อาหารส่วนใหญ่ของพวกเขาจึงเป็นแมลงขนาดเล็กตามพื้นดินอย่างเช่น ปลวกหรือมด รวมไปถึงหนอนที่มีขนาดเล็ก
ตลอดทั้งลำตัวพวกเขานั้นจะถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดแข็งเป็นชิ้น ที่มีลักษณะคล้ายกับเกล็ดของสัตว์เลื้อยคลาน มันมีประโยชน์เป็นอย่างมากเพราะเกล็ดเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนกับชุดเกราะที่ช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ป้องกันตัวเอง
เวลาที่พวกเขาถูกคุกคามก็จะขดตัวเป็นวงกลม เพื่อไม่ให้ส่วนท้องที่ไม่มีเกล็ดปกคลุมถูกโจมตี พวกเขามีเล็บที่แหลมคมและยาวเป็นอย่างมาก ใช้ประโยชน์สำหรับการขุดดินเพื่อหาอาหารและการขุดโพรงสำหรับการใช้เป็นที่อยู่อาศัยพักผ่อน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการปีนต้นไม้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เราไม่ค่อยได้เห็นลิ่นหรือตัวนิ่มตามธรรมชาติสักเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขามีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์เท่านั้น แต่สัตว์ป่าสายพันธุ์นี้ยังเป็นสัตว์หากินตอนกลางคืนอีกด้วย ในตอนกลางวันขณะที่เราเดินป่าจึงไม่ค่อยมีโอกาสพบเห็นพวกเขาสักเท่าไหร่
พวกเขาออกลูกเป็นตัวครั้งละประมาณ 1-2 ตัวเท่านั้น โชคดีที่ใช้เวลาตั้งท้องไม่นานเพียงแค่ประมาณ 130 วัน ปัจจุบันพบว่ามีพวกเขาอยู่ 8 ชนิด กระจายอยู่ทั่วทั้งทวีปแอฟริกาและเอเชีย แต่ที่พบได้ในประเทศไทยจะประกอบไปด้วยลิ่นชวาและลิ่นจีน
ถึงอย่างนั้นก็มีรายงานว่าพบพวกเขาเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง เคยมีรายงานว่ามีผู้คนพบเห็นพวกเขาไม่ไกลจากอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ก็เป็นรายงานตั้งแต่ปี 2483 กันเลยทีเดียว
ความเชื่อเกี่ยวกับการรับประทานตัวลิ่น สาเหตุที่ทำให้พวกเขาอาจสูญพันธุ์
ตัวลิ่นเป็นสัตว์ที่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าหากรับประทานพวกเขาแล้วจะช่วยให้สุขภาพดีและสามารถรักษาโรคได้เนื่องจากเป็นสมุนไพร อย่างเช่นเกล็ดของพวกเขาที่สามารถใช้รักษาโรคกระเพาะได้
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มคนที่มีความเชื่อดังกล่าวหรือคนที่ชื่นชอบการรับประทานของแปลก พวกเขามีราคาสูงกว่ากิโลกรัมละ 2,000 บาทไปจนถึง 3,000 บาทกันเลยทีเดียว ตัวไหนที่มีน้ำหนักมากหน่อยอาจทำให้ราคาพุ่งขึ้นไปสูงถึง 3,500 บาท
ดังนั้นเราจึงสามารถพบการล่าสัตว์ผิดกฎหมายและการลักลอบค้าขายชิ้นส่วนพวกเขาอยู่เสมอ สำหรับในประเทศไทยจะพบได้บ่อยในพื้นที่ภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นในอุทยานแห่งชาติเขาปู่ – เขาย่า หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์เขาบรรทัด
รู้หรือไม่ ตัวลิ่นอาจรอดพ้นจากการสูญพันธุ์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19
ความจริงแล้วตัวลิ่นจัดเป็นสัตว์คุ้มครองในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ นอกจากนี้ยังมีกฎหมายคุ้มครองระหว่างประเทศอีกด้วย หากพบผู้กระทำความผิดจะมีโทษปรับถึง 40,000 บาทและจำคุก 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงไม่สามารถช่วยให้พวกเขารอดจากภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดในโลกอย่างมนุษย์ได้แต่อย่างใด ยังคงมีผู้คนลักลอบเข้าป่าเพื่อตามหาเขาอยู่เสมอ คาดการณ์กันว่าลิ่นในทวีปแอฟริกาถูกล่าจำนวนไม่ต่ำกว่าปีละ 4 แสนตัว เพื่อนำเอามาขายในประเทศจีนและเวียดนามซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ปรากฏว่า เกล็ดของพวกเขานั้นก็เป็นเหมือนกับผมและเล็บของคนเรา ดังนั้นมันจึงไม่มีคุณสมบัติที่สามารถนำเอาไปใช้รักษาโรคได้ด้วยซ้ำ แต่วิทยาศาสตร์กลับยังคงไม่สามารถเอาชนะความเชื่อของคนเราได้ ด้วยเหตุนี้สถานการณ์ของพวกเขาจึงยังคงมีความน่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก
นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ซึ่งที่คาดการณ์กันว่าเกิดมาจากพฤติกรรมการรับประทานของแปลกในประเทศจีน จนทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นมาและแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลก ทำให้ทางการจีนมีการลงมติปิดตลาดสัตว์ และประกาศไม่ให้มีการซื้อขายเนื้อสัตว์ที่มาจากธรรมชาติอีกโดยเด็ดขาด
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me