สุนัขเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เดิมทีเราเลี้ยงพวกเขาไว้เพื่อใช้งาน แต่ในปัจจุบันพวกเขาได้รับการพัฒนาให้เหมาะสำหรับการเลี้ยงเล่นในบ้านแล้ว อย่างเช่น เชา เชา สุนัขรูปร่างใหญ่โตและขนฟูจนดูคลับคล้ายคลับคลากับหมี หลายคนอาจมองว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เพราะดูเอื่อยเฉื่อยเหลือเกิน แต่ความจริงแล้วพวกเขาเคยเป็นสุนัขประจำเผ่า ที่ถูกใช้งานในการล่าสัตว์โดยเฉพาะมาก่อนเลยทีเดียว สุนัขสายพันธุ์นี้จะมีความน่าสนใจอย่างไร วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขากัน ไปติดตามกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับสุนัขสายพันธุ์เชา เชา สุนัขที่เหมือนหมีที่สุดในโลก
เชา เชา เป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ที่ลักษณะภายนอกคล้ายกับหมี ลำตัวจะเป็นทรงสี่เหลี่ยม กะโหลกมีขนาดเล็ก หูเป็นทรงสามเหลี่ยมขนาดเล็กที่ปลายโค้งมนและตั้งขึ้น มีขน 2 ชั้นประกอบไปด้วยขนเรียบด้านในที่จะมีความนุ่มฟูเหมือนกับสำลี และขนหยาบที่ปกคลุมลำตัวอยู่ด้านนอก
บริเวณลำคอที่จะมีขนขึ้นหนาเป็นพิเศษ ลักษณะใกล้เคียงกับแผงคอของสิงโต การที่ต้องมีขน 2 ชั้น เพราะในอดีตพวกเขาอยู่ในพื้นที่อากาศหนาวเหน็บ จึงมีการวิวัฒนาการให้มีขนที่หนาเพื่อปกป้องร่างกายจากอากาศที่หนาวเย็นภายนอกนั่นเอง
สุนัขสายพันธุ์เชา เชา จะมีด้วยกันทั้งหมด 5 สี ประกอบไปด้วยสีน้ำตาลแดง สีเหลืองทอง สีเทา สีครีม และสีดำ หางจะม้วนงอเข้าข้างใน มีจมูกทั้งสีดำและสีครีม ดวงตาขนาดเล็กมีความเรียวรีคล้ายกับเมล็ดอัลมอนด์ที่อยู่ลึกเข้าไปในใบหน้า
หากเราไม่ดูแลขนของพวกเขาให้ดี ก็อาจจะทำให้ขนบังวิสัยทัศน์การมองเห็น หรือขนทิ่มตาจนทำให้มีปัญหาน้ำตาไหลและตาอักเสบตามมาได้ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือลิ้นที่มีสีเทาน้ำเงินหรือม่วงเข้ม
ซึ่งจะพบได้ในสุนัขสายพันธุ์เชา เชา เท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้นหากสุนัขสายพันธุ์อื่นมาผสมกับพวกเขา ลูกที่ออกมาก็จะมีลิ้นเป็นสีเข้มเหมือนกับเชา เชา เพราะมันคือยีนส์เด่น นั่นเอง
ประวัติสุนัขสายพันธุ์เชา เชา
เชา เชา เป็นสุนัขที่มีสายพันธุ์เก่าแก่ ต้นกำเนิดของพวกเขาอยู่ในประเทศมองโกเลีย ในอดีตก่อนที่จะได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงที่พบเห็นได้ทั่วไปตามบ้าน พวกเขาเคยเป็นสุนัขชนเผ่ามาก่อน คนในชนเผ่าเลี้ยงพวกเขาเอาไว้และฝึกให้พวกเขาสามารถล่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ
พฤติกรรมของเชา เชา หลังจากได้ถูกพัฒนามาเพื่อให้สามารถเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงได้แล้ว พวกเขาก็ยังติดความเป็นนักล่าอยู่บ้าง ถึงพวกเขาจะดูเอื่อยเฉื่อยและเชื่องช้า แต่ก็ไม่สามารถประมาทได้แต่อย่างใด โดยเฉพาะการเลี้ยงรวมกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างเช่นกระต่ายหรือหนู
พวกเขาถูกกล่าวถึงตั้งแต่ 206 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงที่ประเทศจีนอยู่ในยุคราชวงศ์ฮั่น ดังนั้นผู้คนจึงเชื่อกันว่า การที่พวกเขามีลิ้นเป็นสีดำเกิดจากการที่ไปเลียบางส่วนของท้องฟ้า ในตอนที่โลกกำลังถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ในช่วงแรกสุนัขสายพันธุ์นี้ไม่ได้มีชื่อเรียกว่าเชา เชาเหมือนในทุกวันนี้ ชื่อดังกล่าวได้มาจากพ่อค้าชาวอังกฤษผู้หนึ่ง ที่นำเอาสุนัขลักษณะคล้ายกับหมีเดินทางไปยังต่างประเทศด้วยในช่วงศตวรรษที่ 18 คำดังกล่าวมีความหมายถึงการขนส่งสินค้าแบบสุ่ม พวกเขาจึงถูกเรียกด้วยชื่อดังกล่าวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ลักษณะนิสัย
หลายคนอาจรู้สึกว่าเชา เชามีนิสัยหมาที่ดุร้ายและก้าวร้าว เพราะพวกเขาเคยเป็นสุนัขชนเผ่าที่ใช้ในการล่าสัตว์มาก่อน แต่ความจริงแล้วนิสัยของพวกเขามีความคล้ายคลึงกับแมวเป็นอย่างมาก ชอบที่จะอยู่ตามธรรมชาติ รักตัวเอง ชอบความอิสระ แถมยังขี้ขลาดในบางครั้งอีกต่างหาก
ชอบที่จะได้รับความรักจากเจ้าของ มีความเฉลียวฉลาด สามารถฝึกได้ มีความมั่นใจในตัวเองสูง เป็นสุนัขเงียบ ๆ ไม่ค่อยชอบการทำกิจกรรม ไม่ค่อยส่งเสียงร้อง มีโลกส่วนตัวสูง ข้อดีของพวกเขาก็คือค่อนข้างเงียบและเชื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็จะไม่ชอบคนแปลกหน้าหรือสุนัขตัวอื่นแต่อย่างใด
ซึ่งเราก็สามารถฝึกฝนได้ด้วยการพาเชา เชาไปเข้าสังคมตั้งแต่เด็ก ๆ ก็จะช่วยลดข้อเสียในส่วนนี้ลงไปได้ พวกเขาสามารถเลี้ยงรวมกับเด็กได้ แต่จะไม่ชอบเด็กที่เล่นแรงหรือกอดรัดฟัดเหวี่ยง เพราะมันจะทำให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิดจนมีพฤติกรรมก้าวร้าวตามมา หากต้องการที่จะเลี้ยงรวมกับเด็กก็ต้องสอนเด็กว่า การเล่นกับสุนัขอย่างถูกต้องและเหมาะสมเป็นอย่างไร
ดูแลสุนัขสายพันธุ์เชา เชาอย่างไรให้สุขภาพดีและร่าเริง
เชา เชา เป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ที่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูน่าเลี้ยงแค่ไหน แต่สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่ชำนาญเกี่ยวกับการเลี้ยงสุนัข ก็อาจจะรู้สึกว่าพวกเขาเลี้ยงยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็เหมือนกับสุนัขทั่วไปที่สามารถเลี้ยงได้ตามปกติ
พาพวกเขาออกกำลังกายประมาณวันละ 30 นาทีก็เพียงพอ เพื่อเป็นการปลดปล่อยพลังงานที่ช่วยให้พวกเขาสดใสและแข็งแรง เพราะเราต้องไม่ลืมเช่นกันว่า สุนัขที่นิ่งเฉยในบ้านของเรา ในอดีตบรรพบุรุษของพวกเขาเคยเป็นนักล่ามาก่อน แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือเรื่องสภาพอากาศ เพราะพวกเขามีขนหนา 2 ชั้น
ดังนั้นจึงอาจจะไม่เหมาะสำหรับการเดินเล่นท่ามกลางอากาศร้อน ที่จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น Heat Stroke ปริมาณอาหารที่เหมาะสมคืออาหารเม็ดคุณภาพดี 2 – 3 ถ้วยต่อวัน แบ่งให้วันละ 2 มื้อเช้ากับเย็น
ควรผสมน้ำลงไปในอาหารเม็ด เพราะพวกเขามีช่องอกที่ลึกมาก เวลากลืนอาหารเข้าไปก็มักจะกลืนอากาศเข้าไปด้วย การผสมน้ำก็จะช่วยแก้ปัญหาอาการท้องอืดได้
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me