เกษตรกรต้องเผชิญกับปัญหามากมายในการดูแลสวนเพื่อให้ได้ผลผลิตตามความต้องการ หนึ่งในนั้นก็คือปัญหาเรื่องแมลงนั่นเอง โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีสวนผลไม้ต้องปวดหัวกับเพลี้ยแป้งอยู่เสมอ พวกเขามักสร้างความเสียหายให้กับพืชพันธุ์และต้นไม้ จนทำให้เกษตรกรขายผลผลิตออกมาไม่ได้ตามราคาที่คาดหวัง ผลไม้ต้องร่วงลงมาจากต้นทั้งที่ยังไม่สุกดี บางทีก็เน่าเสียคาต้นจนต้องทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยเหตุนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเพลี้ยแป้ง รวมไปถึงวิธีการป้องกันและกำจัดพวกเขากันว่าสามารถทำอย่างไรได้บ้าง
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับเพลี้ยแป้งและลักษณะหน้าตาของพวกเขา
เพลี้ยแป้งเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแมลงปากดูด พวกเขามีลำตัวขนาดเล็กเป็นอย่างมากจนเราแทบจะไม่สามารถสังเกตเห็นลำตัวพวกเขาได้เลย ตัวของพวกเขาจะมีความอ่อนนุ่มและมีลักษณะเป็นปล้อง มีทั้งหมด 6 ขา
สาเหตุที่มาของชื่อเกิดจากการที่พวกเขามาผลิตสารสีขาว ที่มีความคล้ายคลึงกับแป้งปกคลุมไปทั่วทั้งลำตัว และมีการสร้างเส้นใยสีขาวขึ้นมาพันรอบตัวอีกด้วย
เราสามารถแบ่งพวกเขาออกได้เป็น 2 ชนิดประกอบไปด้วยชนิดหางสั้นและหางยาว และเนื่องจากเป็นแมลงปากดูดพวกเขาจึงมักจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ นั่นเอง
ที่หน้าปวดหัวไปมากกว่านั้นก็คือพวกเขาสามารถสืบพันธุ์ได้ถึง 2 วิธี ประกอบไปด้วยการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
ตัวเมียเมื่อโตเต็มวัยจะสามารถวางไข่ได้สูงถึง 200 ฟอง ไปจนถึงสูงสุด 800 ฟองในระยะเวลาเพียงแค่ 14 วันเท่านั้น วงจรชีวิตของเพลี้ยแป้งเริ่มต้นจากการเป็นไข่ จากนั้นใช้เวลาไม่ถึง 10 วันก็จะฟักออกมากลายเป็นตัวอ่อน
ในช่วงแรกพวกเขาจะมีลำตัวเป็นสีเหลืองและไม่มีผงแป้งปกคลุมลำตัว มักจะคลานไปหาที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยและเติบโต ตัวอ่อนที่เป็นเพศเมียจะลอกคราบ 3 ครั้งและไม่มีปีก ส่วนตัวผู้จะลอกคราบ 4 ครั้งและมีปีก
เราสามารถแยกเพศพวกเขาได้จากขนาดลำตัว โดยตัวผู้จะมีขนาดตัวที่เล็กกว่าตัวเมีย และเรายังสามารถแบ่งประเภทพวกเขาได้อีก ดังนี้
มันสำปะหลัง
เพลี้ยแป้งที่อยู่ในกลุ่มมันสำปะหลังสามารถแบ่งออกได้อีก 4 ชนิด ประกอบไปด้วย
- ลาย มีทั้งแบบวางไข่และแบบออกลูกเป็นตัว สามารถพบได้มากในช่วงฤดูฝน ไข่จะมีความกลมรีและเป็นสีเหลืองอ่อน ตัวอ่อนจะมีลำตัวเป็นสีเหลืองอ่อนและลำตัวยาวรี สามารถเคลื่อนที่ได้ ช่วงนี้จะไม่มีผงแป้งคุมตัว เมื่อโตเต็มวัยก็จะกลายเป็นแมลงที่มีลำตัวกลมป้อม ถ้าหากแป้งบริเวณด้านหลังของพวกเขาหลุดออกก็จะสามารถมองเห็นจุดสีเข้มบนหลังได้ 2 แถบ
- สีเทาหรือแจ็คเบียส พวกเขาจะมีลำตัวเป็นสีเทาอมชมพูและปกคลุมด้วยผงแป้งสีขาว มีขนรอบลำตัว มีหางที่ยาวจนสามารถสังเกตเห็นได้ชัด 2 เส้น มักอาศัยอยู่บริเวณโคนต้นหรือตามดิน
- สีเขียว ลำตัวมีความเรียวแบน ด้านข้างจะมีขี้ผึ้งสีขาวปกคลุมอยู่บาง ๆ มีเส้นขนบริเวณปลายท้อง ชื่นชอบการกินใบแก่
- สีชมพู เป็นชนิดที่สร้างความเสียหายให้กับไร่มันสำปะหลังได้มากที่สุด พวกเขามีรูปร่างกลมและมีตัวเป็นสีชมพูตามชื่อชนิดของพวกเขา มีแป้งสีขาวคลุมอยู่ทั่วทั้งลำตัว ตาโปนออกมาจนสามารถสังเกตเห็นได้ มีขายาวกว่าชนิดอื่น
เงาะ
เป็นอีกหนึ่งศัตรูตัวฉกาจของเกษตรกรผู้ปลูกเงาะ เพราะเพลี้ยแป้งไม่เพียงแต่ทำให้ต้นไม้อ่อนแอ แต่ยังสามารถทำลายผลให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้เลยทีเดียว พวกเขาจะเข้าไปดูดกินน้ำเลี้ยงจากผลเงาะโดยตรง และยังสามารถไปหาอาหารบริเวณช่อดอกและกิ่งอ่อนของเงาะได้อีกด้วย หากระบาดอย่างรุนแรงจะทำให้ผลร่วงลงมาจากต้น ผลที่แก่แล้วก็จะสกปรกจนไม่สามารถรับประทานได้แต่อย่างใด
อ้อย
พวกเขาเป็นแมลงที่มีลำตัวสีชมพูดูอ่อนนุ่ม มีผงแป้งเคลือบตัวอยู่บาง ๆ ความยาวลำตัวไม่เกิน 5 มิลลิเมตรเท่านั้น ตัวเมียจะไม่มีปีก แต่ตัวผู้จะมีปีกอยู่ 1 คู่ แต่โดยปกติแล้วพวกเขามักสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เนื่องจากตัวผู้มีน้อยกว่าตัวเมียมาก
พวกเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย เพราะสามารถทำลายอ้อยได้ในทุกระยะของการเติบโต พวกเขาจะเข้าไปดูดกินน้ำเลี้ยงตามส่วนโค้งของลำต้นและตามร่องของใบอ้อย ปกติจะพบในบริเวณที่อยู่ต่ำกว่าข้อต้นลงมา แต่หากระบาดหนักก็สามารถพบได้ทั่วเช่นเดียวกัน
ทุเรียน
แม้แต่ในประเทศไทยก็ยังพบปัญหาเพลี้ยแป้งที่มากินทุเรียนเช่นเดียวกัน สามารถพบได้ในระยะที่เริ่มติดผลไปจนถึงช่วงเก็บเกี่ยว พวกเขาจะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณผลอ่อน ผลแก่ และช่อดอก เรียกได้ว่าเป็นการทำลายผลผลิตตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำกันเลยทีเดียว ที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บรรดามดทั้งหลายดันเลี้ยงเพลี้ยพวกนี้เอาไว้เพื่อดูดกินน้ำเลี้ยงอีกต่างหาก ผลที่ตามมาก็คือ ทุเรียนจะไม่โต ผลที่ได้ไม่มีคุณภาพจนราคาตก
สับปะรด
ส่วนใหญ่มักจะพบในรัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกา พวกเขาจะเข้าไปทำลายโคนต้นที่อยู่ติดกับดินรวมไปถึงบริเวณใต้ดิน ด้วยการดูดกินน้ำเลี้ยงจนพืชมีโรคใบจุดตามมา นอกจากนี้ยังสามารถพบพวกเขาอยู่ตามผลของสับปะรดได้อีกด้วย ผลไหนที่ถูกเพลี้ยเข้ามารุมก็จะทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
ต้นกระบองเพชร
แม้แต่ต้นไม้ที่เราไม่คิดว่าเพลี้ยแป้งจะสามารถเข้าไปทำลายได้อย่าง ต้นกระบองเพชร พวกเขาก็สามารถเข้าไปดูดกินน้ำเลี้ยงได้เช่นเดียวกัน แถมยังดูดกินอย่างเอร็ดอร่อยอีกด้วย เพราะต้นกระบองเพชรเป็นต้นไม้ประเภทใบอวบน้ำ ดังนั้นจึงมีน้ำเลี้ยงให้กินแบบไม่จำกัด พวกเขามักจะซ่อนตัวอยู่บริเวณฐานของหนาม โคนต้น บริเวณผิวดิน และสามารถลงลึกไปจนถึงรากได้เลยทีเดียว ทำให้ต้นไม้ของเราทรุดโทรมและสุดท้ายก็ลงเอยด้วยความตาย
การแพร่ระบาดของตัวเพลี้ยแป้ง
เพลี้ยแป้งเป็นศัตรูพืชที่สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว บางสายพันธุ์ไม่ต้องผสมพันธุ์ก็สามารถวางไข่ได้ สำหรับสายพันธุ์ที่โจมตีไร่มันสำปะหลังส่วนใหญ่จะพบในช่วงฤดูแล้งหรือช่วงที่ฝนไม่ตกติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะมันสำปะหลังที่ขึ้นในช่วงฤดูแล้งจะมีคุณค่าทางอาหารสูงเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ตัวเบี้ยนและตัวห้ำมีปริมาณลดลง ทำให้พวกเขายิ่งหากินได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม สามารถระบาดจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งได้หลากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งพืช การนำกล้าไม้ที่โดนแมลงทำลายไปปลูก กระแสลมที่เอาตัวอ่อนพัดมาโดนต้นไม้ของเรา แล้วยังมีมดที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงแมลงเหล่านี้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถแพร่ระบาดได้ในระยะเวลาอันสั้น
เปิดวิธีการกำจัดเพลี้ยแป้งอย่างไรให้หมดไปจากสวนของเรา
หากคุณกำลังประสบปัญหาเพลี้ยแป้งบุกสวน เราก็มีวิธีการทั้งป้องกันและกำจัดแมลงมาแนะนำให้ทุกคนได้ลองทำตามกัน ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงปลูกพืชในช่วงฤดูแล้งที่พวกเขากำลังระบาดอย่างหนัก พยายามเก็บซากพืชออกจากสวนให้หมด
พรวนดินเป็นประจำ ตากดินอย่างน้อย 14 วันเพื่อเป็นการฆ่าแมลง คอยตรวจสอบต้นไม้อยู่สม่ำเสมอ หากพบพวกเขาซุกซ่อนอยู่ตามต้นไม้ให้รีบทำลายทิ้ง เวลาคัดเลือกกล้าพันธุ์ต้องมีความสะอาด ไม่มีแมลงหรือโรคติดมาด้วย ใช้สูตรธรรมชาติอย่างตัวเบี้ยนและตัวห้ำในการกำจัด
หากเป็นไปได้เราขอแนะนำให้พยายามหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เพื่อไม่ให้แมลงที่กินเพลี้ยแป้งเป็นอาหารโดนฆ่าไปด้วย หากคุณไม่ไหวอยากใช้ยาฆ่าแมลง เราขอแนะนำให้ลองใช้น้ำส้มควันไม้ดูก่อน เพราะมันไม่มีสารเคมี สามารถป้องกันและกำจัดพวกเขาได้เป็นอย่างดี
เพียงแค่นำเอามาผสมกับน้ำแล้วฉีดไปบริเวณพื้นที่โดยรอบ รวมไปถึงใบของพืชเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้จำนวนของพวกเขาลดน้อยลงแล้ว
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me