ม้าน้ำ สัตว์รูปร่างประหลาดที่ถูกจัดอยู่ในปลาทะเลจำพวกหนึ่ง 

by animalkingdom
180 views
ม้าน้ำ

สัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลส่วนใหญ่มักจะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูแปลกประหลาด อย่างเช่น ม้าน้ำ พวกเขาอาจจะมีรูปลักษณ์ที่ดูน่ารักน่าชังก็จริง แต่หากเทียบกับปลาทะเลธรรมดาทั่วไปที่อยู่ในสายพันธุ์เดียวกัน พวกเขากลับมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนเสียอย่างนั้น แถมพวกมันยังมีพฤติกรรมที่น่าสนใจมากมายอีกด้วย ใครที่สนใจ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขาแบบเจาะลึกกัน 

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่ 

ทำความรู้จักกับม้าน้ำ ปลาที่มีรูปร่างภายนอกแตกต่างจากปลาทั่วไป

ม้าน้ำ

หลายคนอาจมองว่าม้าน้ำเป็นสัตว์น้ำประเภทหนึ่งที่แยกออกมาเดี่ยว ๆ สายพันธุ์เดียว แต่ทราบหรือไม่ว่า ความจริงแล้วพวกเขาถูกจัดอยู่ในสัตว์ประเภทปลา เป็นปลากระดูกแข็งที่อยู่ในวงศ์ย่อย ประกอบไปด้วย 2 สกุลนั่นก็คือ ม้าน้ำเองกับปลาจิ้มฟันจระเข้แคระ

หากเราสังเกตจากรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขา พวกเขาแทบจะไม่มีความคล้ายคลึงกับปลาธรรมดาทั่วไปที่มีลำตัวแบน ๆ ในแนวนอน มีส่วนหัว มีครีบกลางตัว และมีครีบหางอย่างชัดเจน พวกเขามาในรูปทรงที่แปลกกว่านั้นเยอะ 

ลักษณะลำตัวของม้าน้ำจะอยู่ในแนวตั้ง ลำตัวเรียว ๆ ผอม ๆ เป็นเส้น บริเวณหัวลักษณะคล้ายรูปทรงสามเหลี่ยม มีดวงตากลมโตขนาดใหญ่ ปากยื่นยาวออกมามีความยาวเกือบเท่าส่วนหัว คอจะขอดเล็กกว่าลำตัว มีหน้าท้องยื่นออกมาเหมือนกำลังตั้งครรภ์อยู่ตลอดเวลา 

บริเวณก้นกบจะมีครีบเป็นรูปทรงใบพัดจีน ส่วนด้านล่างเป็นหางที่มีความยาวมากกว่าลำตัวของพวกเขา ลักษณะจะเรียวรีมากกว่า และปลายหางโค้งงอเข้าหาลำตัวด้านหน้า

ม้าน้ำ

ม้าน้ำไม่ได้เป็นสัตว์แปลกแค่เฉพาะลักษณะรูปร่างของพวกเขาเท่านั้น หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินแล้วว่าม้าน้ำตัวผู้จะเป็นฝ่ายอุ้มท้องแทนตัวเมีย ลักษณะพิเศษของตัวผู้ก็คือ หน้าท้องจะมีอวัยวะที่คล้ายกับถุง เอาไว้สำหรับเก็บไข่ เมื่อผสมพันธุ์แล้วไข่ได้รับเชื้อก็จะฟักเป็นตัวในอวัยวะดังกล่าว 

เมื่อเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะเปลี่ยนสีลำตัวเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม หลังจากนั้นมันก็จะใช้หางของตัวเองเกี่ยวตัวเมียเอาไว้ แล้วแอ่นส่วนท้องเข้าประกบและตัวเมียจะวางไข่ในถุงหน้าท้องของตัวผู้ จากนั้นตัวผู้จะทำการปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปผสมกับไข่ในถุงหน้าท้อง และใช้เวลาในการฟักเป็นตัวประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ 

การวางไข่ในแต่ละครั้งโดยปกติจะมีปริมาณ 100 – 200 ฟอง เคยมีบันทึกว่ามีการวางไข่มากที่สุดถึง 1,500 ฟองเลยทีเดียว ระยะห่างของการตั้งท้องในแต่ละรอบจะอยู่ที่ประมาณ 28-30 วัน ซึ่งก็สามารถพบบางตัวที่เมื่อออกลูกในช่วงเช้าแล้วสามารถอุ้มท้องต่อได้เลยในช่วงค่ำของวันเดียวกัน

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่มีม้าน้ำเพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่สามารถเอาชีวิตรอดในท้องทะเลที่เต็มไปด้วยอันตรายจนตัวโตเต็มวัยได้ ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไหร่ 

นอกจากนี้ วิธีการคลอดของม้าน้ำก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อถึงเวลาตัวผู้จะทำการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องเพื่อพ่นลูกออกมาจากกระเป๋าหน้าท้องของตนเอง

ม้าน้ำ เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งความรักเดียวใจเดียว เพราะพวกมันจะมีคู่เพียงแค่ตัวเดียวตลอดชีวิต หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตไปก่อน ตัวที่ยังอยู่ก็จะไม่มีการหาคู่ใหม่ไปตลอดทั้งชีวิต อีกหนึ่งความโดดเด่นของพวกมันก็คือ 

ตามผิวหนังจะไม่ได้ถูกห่อหุ้มด้วยเกล็ดเหมือนกับปลา แต่จะถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนังแข็ง ๆ เหมือนกับเกราะ ใช้หางเป็นครีบสำหรับการว่ายน้ำไปมา และยังสามารถใช้เกี่ยวตัวเองกับปะการังเวลาอยากจะอยู่นิ่ง ๆ  

ครีบใส ๆ บริเวณเอวของจะช่วยให้พวกเขาสามารถว่ายน้ำได้อย่างช้า ๆ ซึ่งครีบดังกล่าวจะโบกพัดด้วยความเร็วถึง 30 ครั้งต่อวินาที ซึ่งปกติแล้วลักษณะการว่ายน้ำของม้าน้ำ จะเป็นการว่ายขึ้นลงมากกว่าเคลื่อนที่แบบหน้าหลัง 

นอกจากนี้พวกเขายังจัดเป็นปลาที่ว่ายน้ำได้ช้าที่สุดในโลกอีกด้วย 1 ชั่วโมงสามารถเคลื่อนที่ได้ไกลเพียงแค่ 0.06 กิโลเมตรเท่านั้น ปากของพวกเขาไม่มีกราม ลักษณะของมันเหมือนท่อดูดเอาไว้กินสัตว์ตัวเล็ก ๆ หรือแพลงก์ตอน 

หากพบกับอันตรายพวกเขาสามารถเปลี่ยนสีตัวเองเพื่อให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม เป็นการอำพรางตัวให้ปลอดภัยจากเหล่านักล่าทั้งหลาย 

เรื่องเล่าในตำนานและความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับม้าน้ำ

ม้าน้ำ

ม้าน้ำ เป็นสัตว์ที่ปรากฏตัวอยู่ในความเชื่อเรื่องเทพปกรณัมกรีกและโรมัน ว่ากันว่ามันเป็นยานพาหนะของเทพเนปจูนหรือโพไซดอน ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งมหาสมุทร ผู้คนจึงมองว่าพวกเขาเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ในฝั่งยุโรปเชื่อว่า พวกเขาเป็นทูตที่ทำหน้าที่พาดวงวิญญาณของกะลาสี ไปยังโลกหลังความตาย โดยจะพาดวงวิญญาณไปยังจุดพักผ่อน จนกว่าดวงวิญญาณจะสงบและไปสู่สุคติ

ในทางวิทยาศาสตร์ช่วงแรกนักวิทยาศาสตร์ไม่แน่ใจว่า ควรจะจำแนกม้าน้ำให้เป็นสัตว์ประเภทใด ดังนั้นจึงมีช่วงเวลาที่พวกเขาถูกแยกสายพันธุ์ออกมาต่างหาก ก่อนที่ในภายหลังวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากพอที่จะช่วยให้เรา สามารถจำแนกสัตว์ออกจากกันได้ ทำให้ค้นพบว่าพวกเขาก็เป็นปลาสายพันธุ์หนึ่ง นับแต่นั้นมาพวกเขาจึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของปลา แม้ว่าลักษณะภายนอกอาจจะดูไม่เหมือนก็ตาม 

ที่สำคัญพวกเขายังจัดเป็นสมุนไพรในทางแพทย์แผนจีนอีกด้วย ว่ากันว่ามันสามารถเสริมสมรรถภาพทางเพศและบำรุงกำลังให้แข็งแรง จึงมักจะมีการจับเอาม้าน้ำไปตากแห้งเพื่อนำไปขาย นอกจากนี้ยังมีการนำเอาไปทำเป็นเครื่องประดับอีกด้วย

ส่วนในบางสายพันธุ์ก็ถูกจับมาเป็นสัตว์เลี้ยง ทำให้สายพันธุ์เหล่านี้มีโอกาสสูญพันธุ์น้อยลงเพราะมนุษย์สามารถขยายพันธุ์ได้ แต่ที่น่ากังวลก็คือ ประชากรม้าน้ำในธรรมชาตินั้นลดลงอย่างน่าใจหาย ทำให้ช่วงหลังมานี้ มีการรณรงค์ให้ละเว้นการจับมากขึ้น เพื่ออนุรักษ์ให้อยู่กับโลกมนุษย์ไปอีกยาวนาน

ชำแหละสายพันธุ์ม้าน้ำ แต่ละสายพันธุ์ในประเทศไทยแตกต่างกันอย่างไร

ม้าน้ำ

ม้าน้ำ เป็นสัตว์ทะเลที่เรามีภาพจำว่าพวกเขามีลักษณะอย่างไรชัดเจนจนหลายคนอาจไม่ทราบว่า ความจริงแล้วพวกเขามีอยู่หลากหลายชนิดเลยทีเดียว ในปัจจุบันมีการค้นพบแล้วทั้งหมดกว่า 54 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบม้าน้ำทั้งหมด 6 ชนิดด้วยกัน ประกอบไปด้วย

  • ม้าน้ำดำ เป็นสายพันธุ์ธรรมดาทั่วไปและมีขนาดใหญ่ที่สุดในน่านน้ำไทย ตัวเป็นสีดำสนิทเหมือนกับชื่อ แต่สามารถเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีน้ำตาลแดง หรือสีครีมได้ มักพบบ่อยในบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกของอ่าวไทย 
  • ม้าน้ำหนาม ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในทะเลลึกที่มีน้ำใส พวกเขามีสีสันตามตัวที่สวยงาม เป็นสีน้ำตาลแดงมีลายจุดขาว และมีแถบคาดลำตัว ทั่วทั้งลำตัวถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหนาที่มีความแหลมยาว 
  • ม้าน้ำ 3 จุด มักพบในบริเวณชายฝั่งช่วงฤดูหนาว บนตัวมีจุดดำ 3 จุด จนเป็นที่มาของชื่อสายพันธุ์ 
  • ม้าน้ำแคระ พวกเขามีขนาดตัวที่เล็กที่สุดจึงไม่ค่อยพบเห็นสักเท่าไหร่ ลำตัวตามธรรมชาติเป็นสีดำ มักอาศัยอยู่ตามชายฝั่งไม่ไกลจากสาหร่ายทะเลหรือบริเวณที่พื้นเป็นทราย 
  • ม้าน้ำยักษ์ เป็นสายพันธุ์ขนาดใหญ่อีกสายพันธุ์หนึ่ง สามารถมีความยาวลำตัวได้กว่า 28 เซนติเมตรจากความยาวเฉลี่ยของสายพันธุ์อื่นที่ยาวเพียง 15 เซนติเมตรเท่านั้น 
  • ม้าน้ำหนามขอ พวกเขาจะมีปากที่ยื่นยาวออกมาจนเห็นได้ชัด บริเวณเหนือดวงตาจะมีหนามแหลมยื่นออกมา และมีหนามอยู่ทั่วลำตัว ปลายหนามจะมีสีเข้ม หากเอามือไปสัมผัสจะรู้สึกเหมือนมีหนามเกี่ยวมือ จนกลายเป็นที่มาของชื่อนั่นเอง 

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me

บทความที่เกี่ยวข้อง

Leave a Comment