นกกระจอกเทศ ราชาแห่งทุ่งหญ้าที่มาพร้อมความรวดเร็วในการวิ่ง

by animalkingdom
61 views
นกกระจอกเทศ

นกกระจอกเทศ ราชาแห่งทุ่งหญ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความสูงใหญ่ผิดกับนกทั่วไป มาพร้อมกับขาที่แข็งแรงและวิ่งเร็วเหมือนกับสายลม ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และพฤติกรรมอันน่าทึ่ง พวกมันจึงสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักพวกมันมาบ้างแล้ว แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกมันให้มากขึ้น

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่

สัมผัสความน่าสนใจของนกกระจอกเทศ นกยักษ์ บินไม่ได้ แต่วิ่งเร็ว

นกกระจอกเทศ

นกกระจอกเทศ สัตว์ปีกขนาดใหญ่ที่เราคุ้นชินกันเป็นอย่างดี ตัวผู้จะมีขนาดลำตัวที่โตกว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด ขนตามลำตัวของตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยจะเป็นสีดำสนิท แต่ตัวเมียถึงจะโตเต็มวัยแล้วก็ยังคงมีสีขนเป็นสีน้ำตาลเทาอ่อนเหมือนเดิม 

จะงอยปากจะแบนและกว้าง มีดวงตากลมโต ศีรษะเล็กและไม่มีขนปกคลุม มีปีกขนาดใหญ่ ขาเรียวยาวและมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทำให้สามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วนกกระจอกเทศมักจะเดินหรือวิ่งมากกว่าบิน

ถึงแม้ว่านกกระจอกเทศจะมีปีกเช่นเดียวกันกับนกทั่วไป แต่จัดเป็นนกที่บินไม่ได้เหมือนกับเพนกวิน เพราะถึงปีกจะใหญ่ขนาดไหน แต่ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตและน้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ทำให้ปีกเหล่านั้นไร้ประโยชน์ มีเอาไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น 

บริเวณเท้าจะมีอยู่ 2 นิ้ว ใต้นิ้วเท้าจะเป็นเนื้ออ่อน ๆ สาเหตุที่นิ้วมีน้อยเพราะพวกมันต้องทำความเร็วในการวิ่งเพื่อหนีศัตรูตามธรรมชาติ

เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงได้กว่า 2.5 เมตร และมีน้ำหนักได้ถึง 165 กิโลกรัม จัดเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาว เพราะหากเลี้ยงดี ๆ ก็สามารถมีอายุได้ถึง 75 ปีเลยทีเดียว และลูกนกกระจอกเทศที่เกิดออกมาได้เพียงแค่ 2 วันก็สามารถวิ่งได้แล้ว

นกกระจอกเทศ

นกกระจอกเทศ มักอาศัยอยู่ตามบริเวณทุ่งหญ้าเป็นฝูงขนาดใหญ่ และยังสามารถอยู่ร่วมกับสัตว์ที่เป็นเหยื่อสายพันธุ์อื่นอย่างยีราฟหรือม้าลายได้อีกด้วย นอกจากจะมีความสามารถในการวิ่งที่รวดเร็วแล้ว พวกมันยังกระโดดเตะได้อย่างรุนแรง มีความระแวดระวังสูง พวกมันจึงไม่ค่อยตกเป็นเหยื่อสักเท่าไหร่

ไข่นกกระจอกเทศเป็นไข่นกที่มีขนาดใหญ่โตมากที่สุดในโลก อาหารหลักของพวกมันจะประกอบไปด้วยเมล็ดพืช พืชผักผลไม้ รวมไปถึงสัตว์ตัวเล็ก ๆ วิธีกินคือ จะใช้ปากขนาดใหญ่กัดด้วยแรงมหาศาล ก่อนจะกระดกเข้าไปในลำคอ

เมื่ออาหารตกเข้าสู่คอแล้วก็จะยืดคอตรงเพื่อให้อาหารสามารถไหลผ่านคอยาว ๆ เข้าสู่ระบบย่อยอาหารต่อไปได้ แต่ที่น่าประหลาดคือ นกกระจอกเทศไม่ได้กินเฉพาะสิ่งที่กินได้เท่านั้น แต่ยังมักกินของแปลก ๆ โดยเฉพาะของที่สะท้อนแสงได้อย่างขวดพลาสติกหรือนาฬิกาลงไปด้วย ภัยคุกคามหลักอีกอย่างหนึ่งของพวกมันจึงเป็นขยะของมนุษย์เรา นั่นเอง

รู้หรือไม่ นกกระจอกเทศมีความสำคัญกับเศรษฐกิจและสามารถเลี้ยงได้

นกกระจอกเทศ

เชื่อว่าหลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า นกกระจอกเทศก็เป็นหนึ่งในสัตว์เศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ซึ่งหากพิจารณาให้ดีจะพบว่า ทั้งเนื้อและไข่ของพวกมันได้รับความนิยมในการบริโภคไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น เราจึงสามารถเลี้ยงพวกมันเพื่อทำปศุสัตว์ได้ด้วย โดยเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงนกสายพันธุ์ดังกล่าว มีดังนี้

  • การดูแลลูกนก ลูกนกแรกเกิดจะฟักออกมาจากไข่ไม่เกิน 55 วันหลังจากที่แม่วางไข่ ในช่วงนี้พวกมันจะกินเป็นอาหารอ่อนๆ อย่างไข่ต้มบดผสมกับอาหารแช่น้ำ นมผง หรือยอดหญ้าอ่อน
  • การเลี้ยงนกโตเต็มวัย นกที่โตเต็มวัยคือนกที่มีอายุตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป ช่วงนี้พวกมันจะเริ่มเปลี่ยนอาหารมากินพืชผักผลไม้ ธัญพืช และหญ้าเป็นหลัก หลังจากนั้นก็จะใช้เวลาประมาณ 2 ปี จึงจะเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ พร้อมผสมพันธุ์
  • การผสมพันธุ์ นกกระจอกเทศจะผสมพันธุ์ในช่วงฤดูฝน หลังจากผสมพันธุ์ตัวเมียจะวางไข่ครั้งละประมาณ 15 ฟองขึ้นไป ใช้เวลา 45 วันขึ้นไปไข่ก็จะซักออกมาเป็นตัว
  • การสร้างรายได้ นกกระจอกเทศเป็นสัตว์ที่ให้ประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นไข่ของพวกมันที่ขนาดใหญ่ แถมยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เนื้อที่มีความเหนียวแน่น รสชาติอร่อย ปรุงได้หลายเมนู และยังมีไขมันต่ำ ไม่เพียงเท่านั้นขนยังสามารถนำเอาไปทำเป็นของตกแต่งหรือเครื่องนุ่งห่มได้

แนะนำสายพันธุ์นกกระจอกเทศที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยง

นกกระจอกเทศ

นกกระจอกเทศเดิมทีเป็นสัตว์ป่า แต่มนุษย์ได้ทำความรู้จักและใช้ประโยชน์จากพวกมันมาเป็นเวลาร่วม 5,000 ปีเลยทีเดียว โดยสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงมากที่สุดจะประกอบไปด้วย

  1. สายพันธุ์คอดำ เป็นสายพันธุ์ทั่วไปที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศโมร็อกโกและซูดาน ผิวหนังจะเป็นสีเทาดำ ขนสั้นและสีเข้มกว่าชนิดอื่น เชื่องและง่ายต่อการเลี้ยงดู ใน 1 ปีสามารถออกไข่ได้มากกว่า 80 ฟอง และยังมีราคาที่สูงมากอีกด้วย
  2. สายพันธุ์คอแดง เป็นสายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดจากแถบแทสมาเนียและเคนยา ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนมีผิวสีชมพูเข้ม ตัวผู้บริเวณต้นขาและคอจะมีผิวหนังสีครีม แต่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ตัวเมียมีขนสีน้ำตาลเทา ส่วนตัวผู้มีขนสีดำ เมื่อโตเต็มวัยจะมีความสูงได้ถึง 2.5 เมตร และน้ำหนักกว่า 165 กิโลกรัม ให้เนื้อเยอะ แต่ออกไข่น้อย ช่วงฤดูผสมพันธุ์จะดุเป็นพิเศษ
  3. สายพันธุ์คอน้ำเงิน เป็นสายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากในประเทศแอฟริกาทั้งทางตอนเหนือ ตอนใต้ และตะวันตก พวกมันมีผิวหนังสีฟ้าอมเทา ตัวผู้เมื่อเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ผิวหนังบริเวณหน้าแข้งจะเปลี่ยนเป็นสีแดง เป็นสายพันธุ์ที่ให้เนื้อน้อย ตัวไม่ใหญ่ แต่ผลิตไข่ได้เยอะ

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ของเหล่าสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me

บทความที่เกี่ยวข้อง

Leave a Comment