สัตว์บางสายพันธุ์ก็มีความใกล้เคียงกันเสียจนเราเกือบจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร อย่างเจ้าลามะที่หากมองเพียงผิวเผิน หลายคนคงจะเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นอัลปาก้าอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าสัตว์ทั้ง 2 สายพันธุ์ อยู่ในตระกูลเดียวกันแถมยังมีลักษณะภายนอกที่ใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก ลามะได้รับความนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงไว้ดูเล่นหรือจะเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์ก็ตาม เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้อาจจะทำให้หลายคนสงสัยว่า แล้วเข้าลามะพวกนี้มีความโดดเด่นแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นอย่างไร มีรูปร่างหน้าตาเป็นแบบไหน และแตกต่างจากอัลปาก้าอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาให้ ไปติดตามกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับลามะ สุดยอดสัตว์ที่เต็มไปด้วยประโยชน์มากมาย
ลามะ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในตระกูลอูฐเช่นเดียวกับอัลปาก้า พวกเขามีถิ่นอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายไปทั่วทั้งโลก เนื่องจากพวกมันเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมของชาวแอนดิส ตั้งแต่สมัยที่ชาวสเปนได้เริ่มเข้าไปตั้งถิ่นฐานจนมาถึงปัจจุบัน
แต่ความจริงแล้วต้นกำเนิดของพวกเขานั้นอยู่บริเวณตอนกลางของทวีปอเมริกาเหนือตั้งแต่เมื่อ 40 ล้านปีที่แล้ว ก่อนที่ 3 ล้านปีก่อนหน้านี้พวกเขาจะอพยพถิ่นฐานย้ายมาอาศัยอยู่ในบริเวณอเมริกาใต้แทน ซึ่งตรงกับช่วงปลายของยุคน้ำแข็งพอดี
จากข้อมูลเชิงสถิติในปี 2007 พบว่า มีจำนวนประชากรลามะอยู่ในอเมริกาใต้กว่า 7 ล้านตัวเลยทีเดียว เห็นน่ารักแบบนี้แต่ความจริงแล้วพวกเขามีขนาดตัวที่ใหญ่โตไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์กินพืชก็ตาม
ลักษณะทั่วไปของลามะ
เมื่อโตเต็มวัยลามะสามารถมีความสูงได้ถึง 180 เซนติเมตรหรือเทียบเท่ากับผู้ชายโตเต็มวัย ส่วนน้ำหนักตัวนั้นก็เริ่มต้นตั้งแต่ 130 กิโลกรัมไปจนถึง 200 กิโลกรัมเลยทีเดียว เมื่อแรกเกิดพวกเขาจะมีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 9 กิโลกรัมไปจนถึง 14 กิโลกรัมแล้ว
พวกเขามีเอกลักษณ์อยู่ที่ลำคอที่มีความยาวคล้ายกับยีราฟ มีหางสั้น มีขนที่สั้น หนาและปกคลุมไปทั่วทั้งลำตัวคล้ายกับขนแกะ เนื่องจากมีขนาดตัวที่ใหญ่ประกอบกับการเป็นเหยื่อตามธรรมชาติ ทำให้ช่วงชีวิตของพวกเขาค่อนข้างสั้น ซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 20 ปีไปจนถึง 30 ปีเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์หรืออยู่ในธรรมชาติ และการดูแลมีความเหมาะสมหรือไม่
ลามะ จัดเป็นสัตว์สังคมที่อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นฝูง และยังถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกด้วย ดังนั้นเวลาเลี้ยงจึงต้องมีตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ทำให้โดยส่วนใหญ่แล้ว คนที่เลี้ยงจะเลี้ยงเป็นอาชีพมากกว่าการเลี้ยงเอาไว้เป็นเพื่อนเล่น
ขนของพวกเขามีความหนาและนุ่ม ที่สำคัญไม่มีลาโรนินหรือไขมันจากขนสัตว์ ดังนั้นขนของลามะจึงสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้มากมายโดยเฉพาะการทำเครื่องนุ่งห่ม ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีขนสีขาว สีครีม สีน้ำตาล ไปจนถึงสีดำ และยังมีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมากอีกด้วย
เราสามารถสอนหรือฝึกให้พวกเขาเรียนรู้การทำงานแบบง่าย ๆ ให้พวกเขาทำได้ด้วยตัวเองหลังจากที่มีการทำซ้ำไม่กี่ครั้งเท่านั้น ในบางพื้นที่ยังนิยมใช้พวกเขาแบบสัมภาระเดินทางเหมือนกับญาติอย่างอูฐอีกต่างหาก
ลามะ สามารถแบกสิ่งของได้ประมาณ 25% ถึง 30% จากน้ำหนักตัวสำหรับการเดินทางประมาณ 8 กิโลเมตรไปจนถึง 13 กิโลเมตร เท่ากับว่าตัวที่มีน้ำหนัก 200 กิโลกรัมสามารถแบกของได้ถึง 60 กิโลกรัมเลยทีเดียว นอกจากนี้พวกเขายังมีความแข็งแรงทนทานเป็นอย่างมาก สามารถเดินทางท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้เป็นอย่างดี ทนทานต่ออากาศหนาวและลมแรง
พวกมันเป็นสัตว์ที่กินอาหารง่าย สามารถกินหญ้าตามทางได้เอง มีกระเพาะสำรองที่ช่วยให้สามารถกักตุนอาหารสำหรับการเดินทางไกลได้อีกด้วย ในแต่ละวันพวกเขาสามารถเดินทางไกลได้กว่า 30 กิโลเมตรเลยทีเดียว ถึงจะเป็นการเดินช้า ๆ แต่ก็เดินได้นานกว่า 20 วันติดต่อกัน และยังไม่จำเป็นต้องกินน้ำเลยในระยะเวลา 3-4 วันอีกด้วย
เปิดสาเหตุที่ทำให้ผู้คนหันมาเลี้ยงลามะและประโยชน์ที่ได้รับ
ลามะ สัตว์ที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสร้างความสมบูรณ์ในระบบนิเวศหรือแม้แต่การใช้งานของมนุษย์ ในอดีตผู้คนที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีส นิยมเลี้ยงพวกเขาเอาไว้สำหรับการขนของเดินทางไกล
เมื่อพวกเขาตายก็สามารถกินเนื้อเป็นอาหารได้ หากมีลูกก็มีน้ำนมที่สามารถดื่มได้ หนังของพวกเขานำเอาไปทำข้าวของเครื่องใช้ได้ ขนยังเอาไปทำเครื่องนุ่งห่มได้ ไขมันก็ใช้ทำเป็นเทียนไข ในขณะที่สิ่งปฏิกูลก็นำเอามาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อก่อไฟและสร้างความอบอุ่นได้อีกด้วย
แต่ทราบหรือไม่ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์มาก่อน เนื่องจากความมีประโยชน์ของพวกเขานั่นเอง ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 16 ที่ชาวสเปนเข้าไปล่าอาณานิคมในโบลิเวีย พวกเขาถูกล่าอย่างหนักจนมีจำนวนลดลงจาก 5 แสนตัวเหลือเพียงแค่ 2,000 ตัวเท่านั้นในปี 1968
จำนวนประชากรลามะที่ลดลงไปอย่างรวดเร็วทำให้ประเทศโบลิเวียต้องพยายามหาวิธีการในการอนุรักษ์พวกเขาเอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการก่อตั้งโครงการรณรงค์ให้ชาวบ้านหันมาเลี้ยงและเพาะพันธุ์เพื่อการปศุสัตว์ โดยผลผลิตที่ได้ส่วนใหญ่ก็คือขนที่สามารถนำเอาไปขายเพื่อทำเครื่องนุ่งห่มได้
โครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จนทำให้ประชากรของสัตว์สายพันธุ์นี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมและรอดพ้นจากการสูญพันธุ์ในที่สุด ที่สำคัญก็คือมันยังเป็นแหล่งรายได้อีกทางหนึ่งสำหรับชาวบ้านอีกด้วย เพราะเห็นขนของพวกเขาเป็นแบบนี้แต่เวลาขายก็ได้ราคาดีไม่น้อยเลยทีเดียว นับว่าเป็นโครงการเพาะพันธุ์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและได้ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งมนุษย์และสัตว์อย่างแท้จริง
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me