นกกระทา สัตว์ตัวจิ๋วสุดน่ารักที่สามารถบริโภคได้ด้วย

by animalkingdom
48 views
นกกระทา

หลายคนอาจไม่ทันรู้ตัวว่ามนุษย์เราก็กินไข่นกด้วยเหมือนกัน เพราะปกติแล้วเราจะคุ้นชินกับการกินไข่เป็ดหรือไข่ไก่มากกว่า แต่ก็ต้องไม่ลืมเหมือนกันว่าไข่นกกระทาก็นับว่าเป็นอาหารที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้เนื้อของพวกมันยังได้รับความนิยมในการรับประทานอีกด้วย ว่ากันว่ารสชาติอร่อยไม่แพ้เนื้อไก่กันเลยทีเดียว พวกมันจึงเป็นนกที่เราสามารถเลี้ยงเพื่อสร้างรายได้ได้เหมือนกัน ถือว่าเป็นสัตว์อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความน่าสนใจ และเราจะพาทุกคนไปเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ปีกชนิดนี้กัน

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่

ทำความรู้จักกับนกกระทา นกขนาดเล็กรสชาติอร่อย ขายได้ทั้งเนื้อและไข่ 

นกกระทา

นกกระทา เป็นสัตว์ปีกที่เราคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี เพราะไข่ของพวกมันมีขนาดเล็กและรสชาติอร่อย สามารถนำเอาไปปรุงได้หลากหลายเมนู แถมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะไข่เพียงแค่ฟองเดียวสามารถให้โปรตีนได้สูงกว่า 13 กรัม เทียบกับไข่เป็ดหรือไข่ไก่ที่มีขนาดใหญ่กว่า แต่กลับให้โปรตีนได้เฉลี่ยประมาณ 12.5 กรัมเท่านั้น 

ไข่นกกระทาจึงถือได้ว่าเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพและต้องการลดน้ำหนัก ไม่เพียงเท่านั้นสถาบันรังสีรักษาและมะเร็งวิทยายังเปิดเผยข้อมูลการวิจัยด้วยว่า ในไข่มีธาตุซีลิเนียมที่สามารถต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงวิตามินบี 12 ที่ช่วยบำรุงร่างกายและตับได้อีกด้วย

นกกระทา

ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงเริ่มหันมารับประทานไข่นกกระทากันมากขึ้น และเกษตรกรหลายรายก็ให้ความสนใจในการทำฟาร์มมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากพวกมันสามารถเลี้ยงได้ด้วยเงินทุนที่ต่ำ แต่ทำกำไรดี แถมยังสามารถส่งออกไปต่างประเทศได้อีกด้วย

นกกระทาจัดเป็นนกขนาดเล็กที่ตามตัวปกคลุมไปด้วยขนลายจุด ส่วนใหญ่มักเป็นขนสีน้ำตาล สีครีม สีขาว สีน้ำตาลเข้ม และสีดำ ไม่ได้มีสีฉูดฉาดเหมือนกับนกสวยงาม หางสั้น ปีกสั้น พวกมันจึงบินได้ไม่ไกลนัก และยังกระจายพันธุ์อยู่ในหลายทวีปทั่วโลก ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ตามพื้นใกล้กับต้นไม้หรือบริเวณที่เต็มไปด้วยพืชปกคลุมหนาแน่น เพื่อให้พวกมันรอดพ้นจากนักล่า

ลำตัวจะดูอ้วนป้อมคล้ายกับแม่ไก่ มีหัวกลม ๆ ขนาดเล็ก จะงอยปากทรงสามเหลี่ยมสีดำที่ไม่ได้ยื่นยาวออกมาสักเท่าไหร่ ขาเรียวเล็กคล้ายขาไก่สีเหลืองสด แรกเริ่มเดิมทีประเทศญี่ปุ่นถือเป็นประเทศแรก ๆ ที่เลี้ยงเอาไว้ฟังเสียงร้องที่มีความไพเราะ แต่หลังจากที่ผู้คนนิยมรับประทานไข่นกกระทามากขึ้น เกษตรกรก็เริ่มหันมาทำฟาร์มเพาะเลี้ยงอย่างจริงจังเพื่อสร้างรายได้ 

รวมสายพันธุ์นกกระทาที่ได้รับความนิยมในการเพาะเลี้ยงมากที่สุด

นกกระทา

นกกระทาถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีความสำคัญอีกสายพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย มันจึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะพบเห็นไข่และเนื้อของพวกมันถูกวางขายไปทั่วประเทศ สำหรับใครที่สนใจอยากจะลองเลี้ยงบ้าง เราจะพาทุกคนไปดูกันว่ามีสายพันธุ์ไหนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้

สายพันธุ์ญี่ปุ่น

นกกระทา

นกกระทาสายพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดจากทุกสายพันธุ์ เนื่องจากพวกมันให้ไข่เยอะ เลี้ยงง่าย แถมยังทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วจะพบอยู่ 3 สี ประกอบไปด้วยสีขาว สีดำลายประ และสีทอง เช่นเดียวกับไข่ที่จะมี 3 สีตามลักษณะสีขนของแม่

พวกมันสามารถออกไข่ได้หลังจากมีอายุเพียงแค่ 42 วันเท่านั้น และใน 1 ปีจะออกไข่ได้สูงสุดกว่า 300 ฟอง ตกเฉลี่ยฟองละประมาณ 12 กรัม หากเป็นไข่ที่มีเชื้อก็จะใช้เวลาในการฟักไม่เกิน 19 วัน จึงจะออกมาเป็นตัว สามารถพบเจอได้ทั่วไปตามทุ่งหญ้า ทุ่งเกษตรกรรม และพุ่มไม้ไม่ไกลจากแม่น้ำ

สายพันธุ์เวอร์จิเนีย

นกกระทา

นกกระทาสายพันธุ์เวอร์จิเนียจะมีลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างจากสายพันธุ์พื้นบ้านในประเทศไทย เนื่องจากพวกมันมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโก แคนาดา คิวบา และสหรัฐอเมริกา ทั้งยังสามารถพบได้ทั่วไปทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และแถมทะเลแคริบเบียน ที่น่าเสียดายคือ ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เราพบพวกมันตามธรรมชาติได้น้อยลงกว่าเดิม

พวกมันถือเป็นนกกระทาขนาดกลางที่ตัวผู้จะมีแถบคิ้วและคอเป็นสีขาวสลับดำ ในขณะที่ตัวเมียตามตัวจะถูกปกคลุมไปด้วยขนสีน้ำตาลลายพร้อยสลับกันระหว่างสีดำ สีเทา และสีขาว บริเวณคอและคิ้วจะไม่มีแถบสีเหมือนตัวผู้ ใน 1 ฤดูกาลจะสามารถวางไข่ได้ถึง 80 ฟอง เฉลี่ยแล้วประมาณปีละ 224 ฟอง หากไข่มีเชื้อก็จะใช้เวลาฟักประมาณ 23 วัน 

สายพันธุ์แคลิฟอร์เนีย

นกกระทา

เป็นสายพันธุ์ที่มีรูปลักษณ์ดูแปลกตาและน่ารักเป็นพิเศษ จนทำให้พวกมันมักปรากฏตัวอยู่ในการ์ตูนเด็กหลายต่อหลายเรื่อง ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของนกกระทาสายพันธุ์นี้ก็คือ หงอนที่อยู่บนศีรษะ นอกจากนี้ยังมีนิสัยที่เป็นมิตร ฝึกให้เชื่องได้ง่าย มักอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ลำตัวมีความอ้วนสั้น หัวและปากมีขนาดเล็กกว่าลำตัวมาก ที่สำคัญคือหางยาวกว่าสายพันธุ์อื่น

เราสามารถพบเจอพวกมันได้ทั่วไปตามป่าเชิงเขาและป่าไม้โอ๊ค แต่ในขณะเดียวกันเองก็พบเจอได้ตามสวนบริเวณชานเมือง พื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงสวนสาธารณะในเมืองแคลิฟอร์เนียเช่นกัน เมื่อเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ พวกมันมักส่งเสียงร้องดังลั่นเพื่อประกาศการครอบครองอาณาเขต นกกระทาสายพันธุ์แคลิฟอร์เนียค่อนข้างได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นเพื่อนเล่นหรือสัตว์สวยงามมากกว่าขายเนื้อหรือไข่ เพราะตัวเมียจะวางไข่เพียงแค่ 12 ฟองใน 1 ฤดูกาลเท่านั้น 

สายพันธุ์ยุโรป

นกกระทา

เป็นนกกระทาสายพันธุ์เล็กที่มีความขยันในการอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ เราจึงพบพวกมันได้ตั้งแต่ทวีปยุโรปไปจนถึงแอฟริกาเหนือเลยทีเดียว ลักษณะจะมีความใกล้เคียงกับสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชีย

เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์นกกระทาตัวผู้จะเดินทางอพยพมาหาตัวเมียในบริเวณทวีปยุโรปทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ผสมพันธุ์ดั้งเดิมตามธรรมชาติ หลังจากนั้นพวกมันก็จะวางไข่ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม

การวางไข่แต่ละครั้งจะได้ไข่ประมาณ 13 ฟอง ตัวเมียจะเป็นฝ่ายฟักไข่ตามลำพัง ใช้เวลาประมาณ 20 วัน ลูกนกก็จะฟักออกจากไข่ พวกมันชอบอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าหรือบริเวณแหล่งเพาะปลูกที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น พวกมันจึงไม่ค่อยได้รับความนิยมในการเลี้ยงเพื่อขายเนื้อสักเท่าไหร่ เพราะตัวเล็ก ให้ไข่น้อย แต่ได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงเพื่อความสวยงามแทน

สายพันธุ์ป่าไผ่ 

นกกระทา

นกกระทาสายพันธุ์นี้มาพร้อมรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและสีสันที่ดูจะสดใส ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะที่ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ วิธีสังเกตเพื่อแยกเพศคือ ตัวผู้จะมีแถบหลังดวงตาเป็นสีดำ บริเวณหน้าอกและด้านหลังของลำคอจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ด้านหลังสีจะคล้ำมากกว่าตัวเมีย ส่วนตัวเมียจะมีจะงอยปากที่เล็กกว่า

ขนที่ปกคลุมตามลำตัวจะเต็มไปด้วยลวดลาย ส่วนหัวมักมีสีน้ำตาลที่อ่อนกว่าจุดอื่น บริเวณท้องเป็นขนลายสลับสีดำขาวดูแปลกตา บริเวณส่วนบนของลำตัวและปีกเป็นขนสีน้ำตาลหม่น มักมีจุดดำบริเวณปลายขน ส่วนหางจะเป็นลายแถบคลายเหยี่ยวสั้น ๆ

พวกมันมักผสมพันธุ์กันในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่ในเดือนมีนาคมลากยาวไปจนถึงเดือนกันยายน ตัวเมียใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 19 วัน โดยมีตัวผู้คอยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ หาอาหารให้ทั้งแม่และลูก เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นเพื่อนมากกว่าเลี้ยงเพื่อขายเนื้อและไข่

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ของเหล่าสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me

บทความที่เกี่ยวข้อง

Leave a Comment