มีสัตว์อยู่หลายสายพันธุ์ที่หน้าตาดูแปลกประหลาดเสียเกิน นกชนหิน ก็เป็นหนึ่งในสายพันธุ์นกที่มีหน้าตาแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาเป็นนกที่มีการสืบทอดพันธุกรรมมาอย่างยาวนานกว่า 45 ล้านปีกันเลยทีเดียว มันจึงไม่น่าแปลกใจที่หน้าตาของพวกเขาจะคล้ายคลึงกับไดโนเสาร์ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในวันนี้ ประชากรของนกชนหินอยู่ในขั้นวิกฤตใกล้สูญพันธุ์ และวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นกันว่าพวกเขาคือใคร มาจากไหน และจะน่าสนใจอย่างไร ไปติดตามกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับลักษณะของนกชนหิน ญาติบ้านใกล้เรือนเคียงของนกเงือก
นกชนหิน จัดเป็นสัตว์ปีกขนาดใหญ่ที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับนกเงือก สามารถพบได้ทั่วไปในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย มาเลเซีย หมู่เกาะบอร์เนียว และหมู่เกาะในสุมาตรา พวกเขาจัดเป็นสัตว์โบราณที่มีพันธุกรรมเก่าแก่และถูกสืบทอดกันมาอย่างยาวนานกว่า 45 ล้านปี
ทำให้พวกเขามีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และดูแตกต่างจากนกในยุคปัจจุบันไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ชาวปูนันจึงเชื่อว่า พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์แม่น้ำที่กั้นขวางระหว่างความเป็นกับความตาย ลักษณะภายนอกของพวกเขาไม่ได้มีความแตกต่างจากนกเงือกที่เป็นญาติบ้านใกล้เรือนเคียงกันสักเท่าไหร่
แต่ความโดดเด่นของนกชนหินก็คือ การที่พวกเขามีสันอยู่บนปากขนาดใหญ่ มีความหนาและเนื้อข้างในก็เป็นสีขาวลักษณะเหมือนกับงาช้าง แตกต่างจากนกเงือกสายพันธุ์อื่นอย่างสิ้นเชิง แถมมันยังมีน้ำในปริมาณกว่า 11% ของน้ำหนักตัวอีกด้วย
ปากของพวกเขาเป็นจะงอยที่ยาวออกมาคล้ายกับนกเงือก ขนหางจะมีคู่หนึ่งที่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษเพราะยาวเลยจากขนเส้นอื่นออกมาถึง 50 เซนติเมตรเลยทีเดียว ตัวผู้ขนาดลำตัววัดตั้งแต่ปลายของจะงอยปากมาจนถึงปลายหางอยู่ที่ประมาณ 127 เซนติเมตร
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเป็นนกที่มีขนาดใหญ่มากกว่านกสายพันธุ์อื่น ขนตามลำตัวของพวกเขาจะเป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ บริเวณใต้ท้องขนจะเป็นสีขาว หางเป็นสีขาวและมีแถบดำพาดขวางอยู่ ขนบริเวณส่วนปลายของปีกจะเป็นสีขาวและไม่มีขนใต้ปีก
บริเวณโคนจะงอยปากและบริเวณสันปากจะเป็นสีแดง ปลายจะเป็นสีเหลืองไล่เฉดลงมา ตัวผู้ลำคอจะไม่มีขนและเป็นผิวหนังสีแดงคล้ำ ส่วนตัวเมียจะเป็นสีฟ้าหรือสีฟ้าอ่อน
เปิดอุปนิสัยของนกชนหินและที่มาของชื่อ
นกชนหิน เป็นสัตว์แปลกก็จริงแต่พฤติกรรมตามธรรมชาติของพวกเขาไม่ได้แตกต่างจากนกสายพันธุ์อื่นแต่อย่างใด พวกเขามักจะหากินบริเวณยอดไม้ อาหารส่วนใหญ่คือผลไม้อย่างเช่นลูกไทร แต่ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตทำให้บางครั้งก็พบว่าพวกเขากินเนื้อสัตว์ด้วยเช่นเดียวกัน อย่างเช่น นกขนาดเล็ก กระรอก กิ้งก่า หรือสัตว์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้
พวกเขาเป็นสัตว์ที่ไม่มีพฤติกรรมการรวมฝูง แต่หากจับคู่แล้วก็อาจจะอยู่ด้วยกันเป็นคู่ ฤดูผสมพันธุ์ของพวกเขาจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม หลังจากนั้นพวกเขาก็จะทำรังอยู่บนต้นไม้สูง ใช้วัสดุในการปิดปากรังเพื่อความปลอดภัย ซึ่งรังของพวกเขานั้นจะเป็นตอไม้ที่สามารถเข้าได้เฉพาะจากทางด้านบนเท่านั้น
หลังจากที่ลูกฟักออกมาจากไข่ พวกเขาจะใช้เวลาในการเลี้ยงดูลูกยาวนานถึง 5 เดือนเลยทีเดียว โดยตัวเมียจะอยู่ภายในโพรงเพื่อดูแลลูกตลอดเวลาและจะไม่พังโพรงออกมาก่อนอย่างแน่นอน เสียงร้องของพวกเขาหากเป็นตัวผู้จะดัง ตุ๊ก ตุ๊ก ติดต่อกันเป็นจังหวะ เสียงร้องจะมีความกระชั้นมากขึ้นเมื่อร้องไปเรื่อย ๆ หลังจากสุดเสียงพวกเขาก็จะมีเสียงที่คล้ายกับมนุษย์หัวเราะประมาณ 5 ครั้ง
หากตกใจพวกเขาจะส่งเสียงสูงเหมือนกับเสียงบีบแตรที่ดังกังวานเป็นอย่างมาก ส่วนที่มาของชื่อนกชนหินนั้น เกิดมาจากการที่พวกเขาต่อสู้กันเพื่อแย่งที่อยู่อาศัย โดยการใช้ส่วนหัวที่เป็นโหนกหนาขึ้นมาชนกัน บางครั้งก็มีการบินชนกันในอากาศ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกตั้งชื่อตามพฤติกรรมดังกล่าว นั่นเอง
สถานะการณ์อนุรักษ์นกชนหิน สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ขั้นวิกฤต
นกชนหิน จัดเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่มีความเสี่ยงเข้าขั้นระดับวิกฤตกันเลยทีเดียว จนกระทั่งในเดือนกันยายนปี 2565 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สัตว์บางชนิดสามารถเป็นสัตว์ป่าสงวนได้เพิ่มเติม และหนึ่งในนั้นก็คือนกชนหินนั่นเอง
พวกเขาจัดว่าเป็นสัตว์ป่าที่หาได้ยากและกำลังใกล้สูญพันธุ์ จำเป็นจะต้องมีการสงวนและการอนุรักษ์อย่างจริงจัง เนื่องจากสามารถพบเห็นพวกเขาอยู่ตามธรรมชาติได้ไม่เกิน 100 ตัวเท่านั้น ซึ่งถือว่าเหลืออยู่น้อยเป็นอย่างมาก และภัยคุกคามก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นมนุษย์เจ้าเก่าเจ้าเดิม
สาเหตุที่พวกเขาถูกล่าก็เนื่องมาจาก โหนกบริเวณโคนปากของพวกเขามีความสวยงามและตันเหมือนกับงาช้าง ทำให้คนมักล่าพวกเขาเพื่อนำไปขายในตลาดผิดกฎหมายอยู่เสมอ แม้ว่าก่อนหน้านี้นกชนหินจะเป็นสัตว์คุ้มครองในลำดับที่ 410 แล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไม่สามารถเพิ่มจำนวนประชากรของพวกเขาตามธรรมชาติได้อยู่ดี
ด้วยเหตุนี้จึงต้องยกระดับให้พวกเขากลายเป็นสัตว์สงวนแทน จัดเป็นการยกระดับการคุ้มครองพวกเขาด้วยกฎหมายที่มีความเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม และยังเป็นการสร้างความตระหนักในสังคมให้รับรู้ถึงสถานการณ์การอนุรักษ์สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อีกด้วย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me
