งูเขียวหางไหม้ งูที่มีพิษน้อยที่สุดที่พบได้ในไทย

by animalkingdom
200 views
งูเขียวหางไหม้

ขึ้นชื่อว่างูพิษ ทุกคนก็ต่างคิดเหมือนกันว่า พิษของพวกมันนั้นร้ายแรงและสามารถฆ่าคนได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่กับ งูเขียวหางไหม้ งูพิษในไทยที่มีพิษรุนแรงน้อยที่สุด จนถึงในบางสายพันธุ์ย่อยก็เป็นงูที่ไม่มีพิษ วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับงูที่มีพิษไม่รุนแรงชนิดนี้กัน

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่ 

ทำความรู้จักกับงูเขียวหางไหม้ ญาติห่าง ๆ ของงูแมวเซา 

งูเขียวหางไหม้

งูเขียวหางไหม้ เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่ในวงศ์เดียวกับงูแมวเซา แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันกลับแทบไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับญาติในวงศ์ตระกูลเดียวกันเลยด้วยซ้ำ ลักษณะของพวกมันจะค่อนข้างโดดเด่นเป็นสง่า ชนิดที่ว่าใครเคยเห็นกับตาจะต้องจำได้อย่างแน่นอน 

ลักษณะหัวของงูเขียวหางไหม้จะเป็นทรงสามเหลี่ยมเหมือนลูกศร ตามสไตล์งูตระกูล Viper บริเวณท้ายทอยจะมีส่วนที่โหนกนูนขึ้นมา 2 ก้อนอย่างชัดเจน เป็นส่วนที่ใช้เก็บพิษเอาไว้ ซึ่งก็เป็นจุดที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว และเป็นจุดที่ใช้ในการแยกระหว่างงูที่มีพิษและไม่มีพิษออกจากกัน 

ขนาดลำตัวของพวกเขาจะค่อนข้างเพรียวบาง ไม่ได้อวบอ้วนเหมือนกับงูแมวเซาหรืองูกะปะ ความยาวลำตัวก็ค่อนข้างสั้น บริเวณคอจะเล็กกว่าส่วนหัวและลำตัวเล็กน้อย ลำตัวปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเขียวอมเหลือง แต่ก็มีบางตัวที่เป็นสีเขียวอมน้ำเงินเช่นกัน ส่วนสีที่โดดเด่นที่สุดจะอยู่บริเวณปลายหางที่เป็นสีแดงสด บางตัวก็อาจจะเป็นสีแดงเข้มหรือออกสีน้ำตาลได้

งูเขียวหางไหม้

งูเขียวหางไหม้ เป็นงูพิษอ่อนที่ไม่ได้อันตรายมากมายนัก ซึ่งเป็นพิษที่ส่งผลต่อระบบเลือด หากเป็นงูที่มีพิษร้ายแรง เมื่อถูกกัดและไม่สามารถนำตัวเข้ารับการรักษา อาจเสียชีวิตได้ภายใน 3 ชั่วโมง แต่สำหรับงูเขียวหางไหม้ เราจะปวดแผลอย่างรุนแรงประมาณ 5-6 ชั่วโมง จากนั้นก็จะยังคงปวดและเกิดอาการบวมรวดเร็วในช่วง 4 วันแรก แต่เมื่อผ่านไปก็จะค่อย ๆ ยุบลงภายในประมาณ 1 สัปดาห์ 

ในช่วงนี้อาจจะมีเลือดออกบ้าง เนื่องจากพิษของพวกเขาจะส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด แต่ก็จะไม่มากนัก ยกเว้นเสียแต่ว่าใครที่มีอาการแทรกซ้อนหรือมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว หากผ่านไป 1 สัปดาห์และยังคงมีเลือดออกในปริมาณมาก ถือว่าเป็นอาการผิดปกติที่ค่อนข้างอันตราย 

แต่อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนำว่า ไม่ว่างูตัวนั้นจะมีพิษอ่อนหรือมีพิษร้ายแรงมากแค่ไหน เมื่อโดนกัดก็ควรไปพบแพทย์ เพราะนอกจากอันตรายจากพิษงูแล้วยังมีบาดทะยักที่น่ากังวลเช่นเดียวกัน  

งูเขียวหางไหม้

งูเขียวหางไหม้ในประเทศไทยมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์ทองเหลือง สายพันธุ์ตาโต หากเราเป็นคนที่ไม่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องงู มันจึงเป็นเรื่องยากที่เราจะแยกแยะแต่ละสายพันธุ์ออกจากกัน

แต่หากคุณเจองูเขียวที่มีหัวเป็นทรงสามเหลี่ยมเหมือนกับลูกศร มีปลายหางเป็นสีแดงหรือน้ำตาล เราขอแนะนำว่าให้ออกห่าง และรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาจับออกไปจากบ้านจะดีที่สุด อย่าพยายามตีพวกเขาด้วยตัวเองโดยเด็ดขาด เพราะคูณอาจจะตกเป็นเหยื่อของงูเขียวหางไหม้ได้เช่นเดียวกัน

พฤติกรรมและลักษณะนิสัย 

งูเขียวหางไหม้

งูเขียวหางไหม้เป็นสัตว์กินเนื้อที่รูปร่างเพรียวบางจนดูเหมือนจะสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วฉับไว แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขามักจะเคลื่อนไหวช้า ๆ มากกว่า แต่อย่าเพิ่งประมาทโดยเด็ดขาด เพราะพวกเขายังคงพกพาความดุร้ายมาเต็มกระเป๋า 

เมื่อไหร่ที่เราเข้าใกล้จนทำให้พวกมันรู้สึกว่าเราเป็นภัยคุกคาม พวกมันก็พร้อมที่จะฉกกัดและปล่อยพิษใส่เราในทันที แต่ก็มีบางสายพันธุ์ที่ไม่ได้ดุร้ายอะไรมาก ถึงแม้ว่าจะมีพิษแต่พวกมันก็ต้องเก็บพิษเอาไว้สำหรับการล่าเหยื่อเช่นดัน 

พวกมันคงไม่อยากเอามาใช้ทำร้ายมนุษย์อย่างเราอยู่แล้ว เพราะพิษของงูเขียวหางไหม้นั้นมีจำกัด บางสายพันธุ์จึงแทบจะไม่พบว่าฉกกัดมนุษย์เลย แม้แต่ในเวลาที่โดนรบกวนก็ตาม ยกเว้นว่าเราจะทำให้พวกเขาเจ็บหรือเข้าไปจับตัวพวกเขาอย่างรุนแรง และบางส่วนก็จะหนีมากกว่าต่อสู้กับมนุษย์ 

เรามักจะพบเจอพวกมันได้ตามกระถางต้นไม้ บนซอกของชายคา ตามกองไม้ ซากไม้ เศษใบไม้ หรือในกอหญ้า ใช้เวลากลางวันส่วนใหญ่หมดไปกับการนอนหลับพักผ่อน พอเข้าสู่ช่วงกลางคืนก็จะออกหากิน ซึ่งก็หากินได้ทั้งตามพื้นดินและบนต้นไม้ 

อาหารโปรดของงูเขียวหางไหม้ ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ที่มีขนาดตัวเล็ก ๆ กินได้หมดทั้ง ตุ๊กแก จิ้งจก นก หนู รวมไปถึงพวกสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกอย่างกบหรืออึ่งอ่าง เมื่อเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์พวกมันจะสามารถออกลูกได้ครั้งละประมาณ 12 ตัวเลยทีเดียว ซึ่งก็มีทั้งสายพันธุ์ที่ออกลูกเป็นตัวและสายพันธุ์ที่ออกลูกเป็นไข่ 

ถิ่นที่อยู่อาศัย 

งูเขียวหางไหม้

งูเขียวหางไหม้กระจายพันธุ์ไปทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ตลอดจนในหมู่เกาะแปซิฟิก ปัจจุบันค้นพบประมาณ 35 สายพันธุ์ ส่วนในประเทศไทยจะพบกับงูเขียวหางไหม้ชุกชุมในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก และยังมีสายพันธุ์ย่อยใหม่ที่เพิ่งค้นพบอย่างสายพันธุ์หางไหม้ภูเก็ต ที่พบในป่าดิบชื้นของจังหวัดภูเก็ตช่วงเดือนตุลาคมปี 2552

ความแตกต่างระหว่างงูเขียวหางไหม้และงูเขียวพระอินทร์ที่มีพิษอ่อนจนไม้เป็นอันตราย 

งูเขียวหางไหม้

งูเขียวหางไหม้ในสายตาของมนุษย์อย่างเรานั้น อาจดูเหมือนเป็นสัตว์มีพิษร้ายแรง ที่สามารถส่งผลต่อชีวิตของเราได้เลย แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงแค่งูพิษอ่อนเท่านั้น โอกาสที่จะโดนงูไทยสายพันธุ์นี้ฉกจนถึงขั้นเสียชีวิตมีค่อนข้างน้อย

แต่ถึงอย่างนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกที่จะฆ่าพวกเขาอยู่ดี ด้วยความหวาดกลัวและอยากจะปกป้องครอบครัวให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย ซึ่งปัญหาก็คือ งูเขียวพระอินทร์ดันกลายเป็นเหยื่อมากกว่าเสียอย่างนั้น เพราะพวกเขามีเกล็ดสีเขียวเหมือนกัน นอกจากนี้งูเขียวพระอินทร์ยังมีความสำคัญกับระบบนิเวศอีกด้วย 

ซึ่งความแตกต่างระหว่างเจ้างูเขียวพระอินทร์กับงูเขียวหางไหม้ก็คือ งูเขียวพระอินทร์จะมีหัวเป็นทรงกลม รวดเร็วว่องไว ใต้ท้องมีสีเหลืองอ่อนคล้ายกัน แต่ปลายหางจะเป็นสีเขียวเหมือนกับลำตัว ทั่วทั้งลำตัวส่วนใหญ่ยังมาพร้อมกับลายสีดำ ในขณะที่งูเขียวหางไหม้จะไม่มีลวดลายตามลำตัวแต่อย่างใด

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์โลกแสนรู้ได้ที่ Animalkingdom.me

บทความที่เกี่ยวข้อง

Leave a Comment